#มายควีนหลินฮุน ตอน ๒๘ : SPECIAL
y MY QUEEN y
#มายควีนหลินฮุน
@LalinLalinia
“ก่อนอื่นกระหม่อมต้องขอประทานอภัยท่านชายพินิตรและหม่อมจันทิมา ที่ต้องทูลว่ากระหม่อมไม่ได้ชอบคุณชายเศวยาแต่แรกพบ...อาจเรียก Hate at first sight ก็ย่อมได้ แต่กระหม่อมรู้สึก...ว่าแววตาของคุณชายเศวยามีเพียงแต่ความหม่น ความเสียใจ ความหวาดกลัว ซึ่งกระหม่อมเองก็ไม่สามารรับรู้ได้ว่าสาเหตุคืออะไร กระหม่อมเพียงแค่เฝ้ามองดู ถามท่านชายพลภฤตอย่างห่างๆ จนวันเวลาหมุนเวียนผันเปลี่ยนให้เราได้กลับมาใกล้ชิดอีกครั้ง กระหม่อมถึงได้รู้ในวันนั้น...ว่าคุณชายเศวยาคือความบริสุทธิ์ เฉกเช่นอัญมณีที่งามที่สุดของนารินจิลเวอรี่ อัญมณีราคาแพงที่ถูกเจียระไนมาอย่างดี แต่เดิมกระหม่อมเชื่อเสมอว่าทุกสิ่งอย่างล้วนมีเหตุผล แต่กับคุณชายเศวยาทุกอย่างกลับกลายเป็นข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่กระหม่อมเริ่มรู้สึกห่วง เมื่อใดที่กระหม่อมเริ่มรู้สึกหวง เมื่อใดที่กระหม่อมเริ่มรู้สึกชอบ เวลาล่วงเลยจวบจนถึงปัจจุบันกระหม่อมยังมิอาจทราบได้ว่ารู้สึกรักไปตั้งแต่เมื่อใด ทุกความรู้สึกล้วนแล้วเเต่เพิ่ม ไม่มีลด และกระหม่อมขอสัญญาว่ามันจะเป็นเช่นนี้ไปตราบนานเท่านาน”
บุตรคนเล็กสุดของตระกูลวรภักดิ์นรินทร์ตื่นจากภวังค์ฝัน เขาเม้มริมฝีปากทันทีที่เสียงทุ้มเเสนอ่อนโยนของผู้ชายที่ยื่นอยู่ข้างกันในตอนนี้ลอยล่องไปมาในส่วนลึกของสมอง ทั้งที่ได้ยินตั้งแต่งานมงคลสมรสที่ไทยแล้ว แต่มันยังดังกึกก้องย้ำเตือนให้หัวใจสูบฉีดอย่างแรงจนมือไม้สั่น ช็อกโกแลตกล่องเหยียบหนึ่งพันสองร้อยดอลล่าร์ไต้หวันถูกหยิบยื่นแจกให้กับบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานมงคลสมรสในวันนี้ตามวัฒนธรรมของที่นี่ ซึ่งส่วนมากก็มีเชื้อสายไต้หวันแท้ๆ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากประเทศไทย หรืออาจจะต้องบอกว่ามีเพียงเพื่อนของเขาและครอบครัวเท่านั้นก็ได้
ภาษาจีนยาวๆถูกพี่คเชนทร์พูดรัวไม่หยุด เขาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ได้เพียงยิ้มตอบรับให้กับแขกที่หันมาจับมือแทน เราสองคนเพิ่งจบงานที่ไต้หวันไปและหากส่งแขกเสร็จก็คงจะได้พักเสียที ตัวเขาเองน่ะไม่เท่าไหร่เลย สงสารก็แต่พี่คเชนทร์มากกว่าที่วิ่งทำนั่นทำนี่จัดการให้เขาทุกอย่างจนเศวยาคิดว่าตนเองอาจจะเป็นอัมพาตไปแล้ว ไหนจะเรื่องงานที่ไต้หวัน ซึ่งอาจจะมีญาติฝ่ายคุณม๊าพี่คเชนทร์ซึ่งเป็นชาวไต้หวันแท้ๆคอยช่วยอยู่บ้าง เรื่องตั๋วเครื่องบินของเหล่าเพื่อนสนิทเขาที่จะมาแบบกะทันหัน ที่พักของเหล่าบรรดาญาติฝ่ายเขาเองซึ่งอาจจะไม่มีปัญหาเท่าไหร่นักเนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวหิรัญภริณากรณ์ที่นี่ส่วนใหญ่คือคอนโดมิเนียมชั้นดีหรือไม่ก็โรงแรมระดับเจ็ดดาวเสียหมด ไหนจะเรื่องการขอวีซ่ามาอยู่ไต้หวันอย่างถาวรของเขาอีกที่มีปัญหาเยอะที่สุด ตอนนี้เศวยาก็เลยได้แค่วีซ่าปกติมา เพราะเขาต้องรอไปสัมภาษณ์อีกหลายต่อหลายทอด ต้องมาอยู่ไต้หวันตามเวลาที่กำหนดอย่างน้อยห้าปีได้ล่ะมั้ง ถึงจะได้วีซ่าแบบถาวร
เขาไม่ได้จะย้ายมาอยู่ที่นี่หรอก แต่พี่คเชนทร์ต่างหากที่บินมาบ่อยมากๆ ก็เล่นถือสองสัญชาติแบบนั้นจะเข้าออกประเทศไหนก็สะดวกน่ะสิ อันที่จริงจูนจะเรียนต่อโทที่ไทยมันก็ได้อยู่เหมือนกัน แต่พี่คเชนทร์ก็บอกอีกว่าหลังจดทะเบียนสมรสที่ไต้หวันเรียบร้อยแล้วก็อยู่ต่อยาวๆไปก่อนเลย เพราะทาง Hirana Group กำลังจะเริ่มโครงการคอนโดฯใหม่ราคากว่าพันล้านบาทและคุณป๊าก็อยากให้พี่คเชนทร์ได้ลองออกโรงจริงๆจังๆเสียที
แปลกที่สุดเลย ไม่รู้สิ เขาไม่ค่อยได้ออกจากวังเลยนะ แต่อยู่ๆก็ได้ย้ายมาอยู่ไต้หวันทันที ตอนนี้เขาพออ่านออกเขียนจีนได้ก็จริง แต่มันเป็นภาษาจีนที่ไม่สามารถเขียนให้คนไต้หวันอ่านออกรู้เรื่องนี่นา ภาษาจีนของไต้หวันน่ะขีดเยอะมากจนจำผิดจำถูกหลายรอบแล้ว
“คุณชาย” แรงสะกิดที่ด้านหลังทำให้เขาและพี่คเชนทร์ต้องหันไปมองพร้อมๆกัน จูนยิ้มหวานให้กับเพื่อนสนิททั้งห้าคนที่ตอนนี้ดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเองเสียอีก “คุณชายมาถ่ายรูปกันๆ”
ดิวนั่นเองที่ดึงเสื้อเขาออกไปโดยไม่ลืมขออนุญาตพี่คเชนทร์ก่อน และคนพี่คงเห็นว่าเขาอยากออกไปหาเพื่อนเลยพยักหน้าให้นิ่งๆแล้วหันไปคุยกับแขกที่เดินมาแสดงความยินดี
“เอาจริงๆนะ ฟังไม่ออกเลยอะ” อายหน้าเหยแล้วเอนตัวพิงผนัง ก่อนดีดกลับขึ้นมาอีกเมื่อยี่สิบเป็นคนเปิดกล้องแล้วชูขึ้นฟ้า “จูนมาอยู่ตรงกลางเร็วๆๆ”
“รู้แล้วๆ” คนที่ถูกดึงถูกลากเดินไปอยู่ตรงกลางอย่างไม่มั่นใจเพราะกลัวจะเผลอล้มใส่เพื่อนเข้า เขาฉีกยิ้มเมื่อได้ที่แล้วเราก็รัวถ่ายรูปเล่นอยู่ตรงนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มจบแล้วทำอะไรดีทั้งหกคนนานหลายนาที เศวยาหันกลับไปมองเพื่อนๆที่ยืนเรียงหน้ากระดานเป็นวงกลมก่อนยิ้มหวานโผเข้ากอดทั้งหกคนพร้อมกันเหมือนเด็กเล็ก
“มาอยู่นี่ต้องคิดถึงมากแน่ๆเลย ฮือ ไม่อยากจากกันนนน” ดิวงอแงคว้าเอวเขาดังหมับ แถมยังกอดแน่นพอๆกับซันที่กอดคอเขาอยู่
“กลับไปหากันบ้างนะจูนน” ยี่ลากเสียงยาวแล้วซบหน้าลงบนไหล่ขวา
“ดูแลตัวเองดีๆรู้ไหม” เอกทำเพียงเขย่ามือซ้ายเขาเบาๆ
“ไหนดูหน่อยซิ สวยหรือยัง”
“สวยอะไรเล่าอาย” จูนถึงกับหน้าเห่อร้อนเมื่อโดนเพื่อนจับแก้มสองข้างแล้วดึงเบาๆ ริมฝีปากสีอ่อนมู่ทู่ก่อนจะโดนเพื่อนที่เริ่มปล่อยกอดออกมาหัวเราะใส่ “ห้ามหัวเราะเค้านะ!”
“ไม่ต้องห่วงนะจูน ทุกอย่างมันจะดี” อายกระพริบตาปริบๆแล้วพยักหน้าให้ช้าๆหลายๆที “มันจะเจ็บ ยังไงมันก็เจ็บแน่ๆ แต่อดทนนะ”
“อายพูดอะไรก็ไม่รู้” สาบานเลยว่าถ้าเป็นในแชทเขาคงส่งอีโมติคอนร้องไห้ไปด้วยแล้วแน่ แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่เบะปากใส่ไปเท่านั้น
“เชื่ออายเถอะ จำไว้นะว่าหายใจเข้าออกลึกๆ ไม่ต้องเกร็ง” ดิวเสริมอีกคน ตั้งแต่คบกับพี่จิณณ์ก็กลายเป็นคนแบบนี้ไปแล้ว จริงๆเลยนะ เขาจะฟังใครได้บ้างเนี่ย “ถือว่าทำเพื่อเทพบุตรของดิวนะจูน”
“ไหนเทพบุตรมึง อีห่า ผัวเพื่อนมั้ย” จูนตีมือลงกับไหล่ซันที่ยืนอยู่ด้านข้างตัวเองเบาๆ หันไปมองรอบตัวแล้วก็โล่งอกที่ไม่มีใครอยู่แถวนี้ บทสนทนาพวกนี้อันที่จริงมันก็ต้องห้ามสำหรับเขาอยู่ แต่ถ้าท่านพ่อกับหม่อมจันไม่มาได้ยินก็คงไม่เป็นอะไร...ล่ะมั้ง
“อะไรกัน”
อ่า...อาจจะต้องนับพี่คเชนทร์ด้วย
“อุ่ย ขอโทษครับพี่เชน”
“สุภาพหน่อย ญาติคุณชายก็อยู่แถวนี้”
พี่เชนที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ทำเอาพวกเราถึงกับต้องแยกตัวไปยืนชี้นกชมไม้ทันที ผู้ชายตัวสูงราวร้อยแปดสิบกว่ากับใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นมากจนมองจากตรงไหนก็เห็นจริงๆ จูนเพิ่งรู้สึกตัวว่าชอบมองหน้าพี่เชนก็ตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เขารู้สึกได้นะว่ามันมีเเรงดึงดูด มันมีพลังอะไรสักอย่างที่ทำให้ละสายตาไปไม่ได้ พอมองนานเข้าใบหน้าก็จะเริ่มเห่อร้อน
แล้วไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่เชนน่ะเหมือนกาแฟไม่มีผิดเลย บางทีก็เป็น Espresso ที่ขมจนต้องวางแก้วเอาไว้ห่างๆ บางทีก็เป็น Cappuchino ที่ถูกเพิ่มนมและฟองนมเข้ามาจนกลมกล่อม บางทีก็เป็น Latte ที่ออกรสหวานเด่นชัดกว่าจำพวกอื่น และคนอย่างเศวยาก็ไม่เคยเดาใจคเชนทร์ถูกเลยสักครั้งว่าวันนี้อีกฝ่ายจะถูกผสมให้ออกมาเป็นรสชาติแบบไหน
รอยยิ้มที่เหมือนกับวาฬเพชรฌาตถูกส่งออกมาให้เขาภายใต้เเสงไฟสีส้มอ่อนจากแชนเดอเลียที่ห้อยระโยงระยางราวสามสี่อันบนเพดานโถงใหญ่ เขายิ้มตอบกลับไปก่อนจะต้องรีบเบนสายตาหนีเมื่อไม่อาจทนความร้ายกาจของดวงตาคู่นั้นได้อีก
เศวยาเคยนั่งนึก นั่งคิด นั่งทบทวนตัวเองหลายครั้งว่าเขาเป็นอะไรกันนะ ถึงได้ลืมพี่เชนไม่เคยลงเลย ทีแรกก็คิดว่าเป็นเพียงความดีใจที่ได้มีพี่ชายเพิ่ม มีพี่เชนคอยพาไปไหนมาไหน คอยพาออกนอกวังไปในที่ที่เขาไม่เคยไป พาทำอะไรที่พี่ชายแท้ๆหรือแม้กระทั่งญาติๆไม่เคยพาเขาทำ แต่ระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เขาร้องไห้ทุกวันตอนนั้นมันก็ทำให้เขารู้ว่า ใช่...พี่เชนคือคนที่ใช่ มันมากกว่ารัก มันไม่ใช่แค่รัก แต่พี่เชนเป็นเช่นทุกอย่าง เป็นครึ่งชีวิตที่เศวยาจะขาดไปไม่ได้ เขายังเคยคิดแม้กระทั่งว่า หากมีคำว่าเศวยาอยู่ จะต้องมีคำว่าคเชนทร์อยู่ด้วย ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน แต่จะต้องได้เห็น และแน่นอนว่าเขาคิดมาก คิดไปไกลกว่านั้นว่าหากคเชนทร์ไม่อยู่ ไม่ได้เห็นแล้ว คำว่าเศวยาจะมีอยู่ไปทำไม
แน่นอนว่าความคิดพวกนั้นมันเป็นเพียงเรื่องชั่ววูบที่เกิดขึ้นมาเหมือนกับคนที่เคยผิดหวังอะไรบางอย่างในชีวิต แต่เขายังมีสติ มีเพื่อนๆที่คอยอยู่ด้วยกันทุกวัน และแค่คิดว่าตัวเองจะทำร้ายจิตวิญญาณและความรักจากท่านพ่อกับแม่ขึ้นมาเขาก็ทำไม่ได้
พี่เชนใจร้ายมาก วันที่เขารู้ทุกอย่าง วันที่พี่เชนอธิบายทุกอย่างให้ฟัง เศวยาจำแทบไม่ลืมว่าทุบอกแน่นๆของคนเป็นพี่ไปตั้งเท่าไหร่ แต่พี่เชนก็ยังยืนนิ่ง ปล่อยให้หยาดน้ำใสไหลจากดวงตากลมโตไปเรื่อยๆและสุดท้ายนิ้วเรียวก็ปาดมันออกไป วินาทีนั้นเศวยาสงบนิ่ง ตัวสั่นเทาจากแรงสะอื้นแล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายก่อนด้วยซ้ำ มันก็แค่ความกลัวว่าจะหายไปโดยไร้ซึ่งความโกรธหรือเกลียดชัง กลัวว่าจะไม่ได้เจออีก กลัวว่าบนโลกนี้จะไม่มีคเชนทร์อีกแล้ว
แต่พอได้ยินเสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหูซ้ำๆ โอบกอดร่างกายของเขาเอาไว้จนอุ่นค่อนไปทางร้อน คำพูดแสนหวานที่ฟังกี่ครั้งก็ยังตราตรึงว่า ‘พี่เป็นของน้องเพียงคนเดียว...เศวยา’ เพียงเท่านั้น ร่างกายก็พลันอ่อนยวบตกลงสู่หลุมที่คเชนทร์ขุดจนปีนป่ายขึ้นมาไม่ได้ โดนหินอความารีนที่อีกฝ่ายมอบให้เป็นของหมั้นตีตราไปเรียบร้อยแล้ว เขาเคยถามพี่เชนว่าเพราะอะไรถึงต้องเป็นอความารีน มันไม่ใช่หินที่สวยงามที่สุด หรือความหมายดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้ยินคำตอบพร้อมรอยยิ้มบางของอีกฝ่ายก็เข้าใจ
พี่เชนบอกกับเขาว่าอความารีนถูกมอบส่งต่อรุ่นต่อรุ่นมาจากฝ่ายคุณป๊า โดยความหมายของมัน คือมอบให้กับคนที่มีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับอความารีนอันเป็นอัญมณีแห่งสายชล เพราะว่าอความารีนนั้นหมายถึงน้ำทะเล เป็นอัญมณีที่มีพลังด้านการปลอบใจ ช่วยให้อารมณ์เยือกเย็น อีกทั้งยังนำมาซึ่งความมีเสถียรภาพและความสงบสุข สามารถขจัดความกระวนกระวายและความคิดในแง่ลบให้หมดสิ้น ด้วยความที่มีสีเย็น จึงช่วยผ่อนคลายความรู้สึกร้อนในจิตใจ เป็นหินที่เหมาะสำหรับตัวแทนของคำว่าคู่ชีวิต ถึงตอนนั้นเศวยาก็ตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายกล่าวต่อว่าเขามีคุณสมบัติตามนั้นทั้งหมดและเหมาะสมที่จะเป็นผู้รับต่อมา
ทันทีที่เราเดินออกจากห้องโถงหลังส่งแขกจบและงานเลิกแล้วหันกลับไปมองความว่างเปล่าหัวใจก็พลันเต้นแรง สมองย้อนภาพความทรงจำทุกอย่างกลับมา วันที่เราเจอกันครั้งแรกแบบที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก วันที่เราจับมือกันครั้งแรกเเล้วเหมือนมีไฟฟ้าสถิตย์ออกมา วันที่เราจ้องตากัน วันที่พี่เชนจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากของเขา วันที่แก้มสีอ่อนแสนบริสุทธิ์ของเศวยาถูกคนเป็นพี่ครอบครองไปด้วยสันจมูกโด่ง
โหวงอยู่ไม่น้อยที่ต้องหันไปกอดลาท่านพินิตรและหม่อมจัน จะบอกว่าที่นี่คือเรือนหอก็อาจจะได้ เพราะชั้นบนสุดของโรงแรมที่เรามาจัดงานคือเพนท์เฮ้าส์พื้นที่กว่าแปดร้อยตารางเมตรของบ้านพี่เชนในเมื่อตึกนี้คือ Hirana Building ที่แม้จะสูงไม่เท่า Taipei 101 แต่ก็มองออกไปแล้ววิวดีไม่น้อยทีเดียว การจะหาบ้านเป็นหลังในไทเปนั้นเป็นเรื่องยากพอตัว ที่ดินที่นี่มูลค่ามหาศาล ผู้คนส่วนมากจึงนิยมการอยู่ตามอพาร์ตเม้นท์หรือคอนโดฯเสียมากกว่า
“อย่าดื้อนะคะเศวยา แม่มีลูกคนเดียว อย่างน้อยถ้าไม่รักใคร ต้องรักตัวเองให้มากนะคะ” หม่อมจันทิมาร้องไห้พร้อมกับรอยยิ้ม มันเป็นหยดน้ำตาที่จูนเห็นแล้วไม่ได้เจ็บปวด แค่เศร้าเล็กน้อยเพราะเห็นแม่ที่คลอดตัวเองออกมากำลังร้องไห้ เขากอดผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าท่ามกลางสายตาของเพื่อนและญาติเราทั้งสองฝ่ายซึ่งมองมาอย่างปิติยินดี
“ดูแลตัวเองด้วย” ท่านพ่อยังคงตรัสน้อยเหมือนเคย เศวยายิ้มร่าวิ่งเข้าไปซุกอกอุ่นๆของผู้ชายตัวใหญ่ที่ทุกคนขานนามว่าท่านพินิตร ผละออกมาเงยหน้ามองจนได้รอยยิ้มบางๆเหมือนมันเขี้ยวเขาเต็มทนกลับมา
“ท่านพ่อเสด็จกลับไทยวันพรุ่งนี้เช้าเหรอครับ” จูนเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ปล่อยกอด พูดงุ้งงิ้งๆอยู่กับอกอุ่นๆของพ่อที่เป็นที่พักพิงมาตลอดยี่สิบสองปี เมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบก็เล่นเอาลูกกระต่ายน้อยมุดอกผู้เป็นพ่อหนักกว่าเดิม
เศวยาไม่เคยจินตนาการเลยว่าวันที่ไม่มีท่านพ่อกับหม่อมจันอยู่ด้วยมันจะเป็นยังไง ถึงแม้จะทะเลาะ ถึงแม้ปากจะเคยพร่ำบอกว่าไม่รัก แต่เชื่อเถอะว่าลึกๆแล้วไม่มีลูกคนไหนรู้สึกดีนักหรอกกับการทำให้พ่อและแม่เสียใจ อีกทั้งเขาไม่เคยออกจากวัง ไม่เคยต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ไม่เคยที่จะได้ออกห่างจากครอบครัว แต่ถึงวันนี้แล้วเขาคงต้องเติบโต การเป็นผู้ใหญ่ที่แท้จริงมันอาจจะเจ็บปวด เเลกมากับอะไรสักอย่าง แต่นั่นหมายถึงเราเองก็จะแข็งแกร่งขึ้น
อันที่จริงการเข้าเรือนหอแบบไทยแท้ๆคงจะต้องมีพิธีรีตรองมากยิ่งกว่านี้ แต่ด้วยสถานที่ไม่อำนวย และที่นี่คือไต้หวัน แถมยังเป็นบ้านพี่เชน ท่านพินิตรกับหม่อมจันจึงทำเพียงมาส่งเขาถึงหน้าห้อง หม่อมจันสั่งสอนอะไรออกมาอีกยาวเหยียดจนเศวยาถึงกับเอ่ยถามพร้อมใบหน้าทะเล้นว่าขอตัวไปเอากระดาษมาจดก่อนได้ไหม ส่วนท่านพินิตรก็หันไปกระซิบอะไรสักอย่างกับพี่เชน ใบหน้าหล่อร้ายถึงได้ยกยิ้มมุมปากตามด้วยการโค้งตัวเก้าสิบองศาคำนับออกมา
เรายืนมองจนทุกคนหายลับไปกับสายตา ก่อนจะเป็นเศวยาเองที่ถอนหายใจห่อไหล่ออกมาอย่างเหนื่อยๆ ท่าทางเหมือนเด็กของเขาทำให้พี่เชนส่งเสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู อีกฝ่ายยื่นมือไปทาบแสกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคก่อนผลักประตูเข้าไปด้านใน
เครื่องปรับอากาศที่ทำความเย็นรอไว้อยู่แล้วทำให้เศวยาหนาวจนไหล่สั่น เขามองไปรอบๆอย่างตกใจเมื่อเห็นความใหญ่โตและหรูหราตามแบบโมเดิร์น ทั้งที่ตอนแรกจินตนาการไว้ว่ามันจะต้องออกแนวจีนจ๋าแน่ๆ อาจจะมีโคมสีแดงห้อยระย้าตรงกลางแต่มันกลับกันหมดเลย
“โห…” เสียงแห่งความแปลกประหลาดใจถูกส่งออกมา เขาแหงนหน้ามองไปที่บันไดวนตรงมุมห้องก่อนจะพบว่าเพนท์เฮ้าส์หลังนี้น่ะมีถึงสองชั้นด้วยกัน
“ข้างบนนั้นของป๊ากับม๊า แต่ไม่ค่อยมาอยู่หรอก” จูนหันกลับไปมองพี่เชนที่ชี้ขึ้นไปแล้วก็ต้องยืนนิ่ง เพราะอีกฝ่ายถอดสูทออกวางพาดไว้บนโซฟาพลางปลดไทด์ออกด้วยมือเดียวที่ว่าง “เป็นอะไรครับจูน”
“เปล่า...” เขาจะไม่บอกพี่เชนเด็ดขาดเลยว่ากำลังเขินและทำตัวไม่ถูกขนาดไหน ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องก้าวขาไหนก่อนกับแค่การเดินไปชมวิวที่กระจกบานใหญ่ “เห็นแม่น้ำด้วยๆ”
จูนเอ่ยพลางชี้ๆไปท่ีข้างล่าง เขายิ้มกว้างทันทีเมื่อได้เห็นวิวกลางคืนแบบชัดเจน ความตื่นตาตื่นใจบังเกิดทันทีเพราะทั้งชีวิตยังไม่เคยมาไทเปเลยสักครั้ง แต่ด้วยความไม่ทันตั้งตัวเสื้อสูทสีดำที่ใส่ไว้ก็ถูกดึงออกตั้งแต่ไหล่ หลุดออกไปทางปลายมือ แล้วความเย็นวาบก็เข้ามาแทรกเมื่อเหลือเพียงแค่เชิ้ตตัวในที่ปิดบังเนื้อหนังเมื่อพี่เชนจัดการมันให้
“ไม่เหนื่อยเหรอ” พี่เชนมายืนซ้อนหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กลิ่นน้ำหอมที่เขาคุ้นเคยลอยมาแตะจมูกจนต้องหลุบตาลงต่ำ พี่เชนทำเพียงจับไหล่เขาเอาไว้หลวมๆ ดันให้เดินเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้นก่อนชี้อธิบายสถานที่ต่างๆนาๆที่สามารถมองเห็นได้จากตึกสูง 300 เมตรตรงนี้ “เงียบเลยนะ”
อีกฝ่ายเอ่ยถามเมื่อสังเกตได้ว่าเขาเงียบผิดปกติ เศวยาถึงกับหันกลับไปมองค้อนเบาๆใส่คนเป็นพี่ทันที แต่เพราะทำแบบนั้นถึงได้รู้ว่าระยะห่างระหว่างใบหน้าเรามันอยู่ในระยะอันตรายชนิดที่ใกล้จนมองเห็นไรขนสีขาวบนสันกรามคมทีเดียว
จูนรีบหันหน้ากลับมาพร้อมหลับตาปี๋เมื่อคางแหลมกดลงบนไหล่ในจังหวะเดียวกับวงแขนแกร่งที่โอบรอบเอวรัดกายเขาเข้าหาอย่างแน่นหนา
“พี่รู้นะว่าน้องเขิน”
“พี่เชนก็อย่าแกล้งน้อง”
“ยังไงก็ต้องแกล้ง” คำพูดสองแง่สองง่ามที่ถูกส่งมามันมีอิทธิพลกับหัวใจจนจูนถึงกับดิ้น แต่แรงพี่เชนน่ะเยอะกว่าเขามากโข ขยับตัวนิดเดียวก็โดนจับล็อกจนต้องยืนนิ่ง “ดีใจไหม?”
“อะไรเหรอครับ”
“แต่งงานกันแล้วนะ” เศวยาหน้าร้อนผ่าว ก้มหน้าซุกไหล่ตัวเองหนีกลีบปากอุ่นที่พรมจูบลงบนแก้มใส เด็กน้อยร้องอู้อี้ทันทีเพราะการกระทำแบบไม่ให้ตั้งตัวของพี่เชนปรากฎขึ้น เขายู่ปากพลางพยายามแกะมือปลาหมึกออกจากเอวแต่ก็ทำได้ไม่ดีเพราะซอกคอขาวถูกสันจมูกโด่งกดลงมาเบาๆอยู่ด้วย
“พี่เชน...มะ ฮือ อย่าแกล้งน้อง”
“รู้แล้วๆ” พี่เชนปล่อยกอดอย่างยอมแพ้เมื่อเศวยาดีดดิ้นสุดแรง เขากัดริมฝีปากล่างพลางหันกลับไปมองคนตัวสูงที่ตอนนี้ยอมถอยทัพไปพิงสะโพกลงกับพนักโซฟาด้านหลังแทน เสียงหัวเราะทุ้มกับรอยยิ้มละมุนส่งมาให้ เล่นเอาความโกรธเมื่อครู่พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ไม่สิ มันไม่ใช่ความโกรธเสียหน่อย เศวยาก็แค่...
อะไรดีล่ะ กลัว ไม่นะ ไม่เชิง
เขิน...คำนี้คงใช้ได้ล่ะมั้ง
“อาบน้ำไหม จะได้รีบนอน พี่ว่าน้องคงง่วงมากแน่ๆ” พี่เชนยกมือขึ้นมาลูบตามเส้นผมและโครงหน้าหวาน ก่อนหยุดที่พวงแก้มแล้วใช้ปลายโป้งเกลี่ยแผ่วเบา “ใช่ไหม?”
“พี่เชนนั่นแหละครับ เหนื่อยกว่าน้องอีก น้องแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย ขอโทษครับ” จูนว่าอย่างรู้สึกผิด จับมือใหญ่ที่วางแนบแก้มตัวเองอยู่แล้วเอียงศีรษะทุยแนบมันให้แน่นขึ้นอีก
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้รู้จักอ้อนด้วยเหรอ หืม?”
“เปล่าเสียหน่อย” จูนส่ายหน้า ความไร้เดียงสาที่ถูกส่งออกไปทำให้พี่เชนถึงกับนิ่งงัน นิ้วมือเรียวที่เขาจับอยู่สั่นเบาๆก่อนมันจะรีบผละออกไปเพราะเจ้าของดึง “พี่เชน”
“ไปอาบน้ำไป ถ้าดื้อพี่จะตี” พี่เชนว่าเสียงดุ “ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะครับ”
“…”
“เพราะที่นี่คือบ้านอีกหลังของน้อง” พี่เชนยิ้มบาง “ทุกอย่างของพี่ คือของน้อง” เศวยาเม้มกลีบปากแน่น เขาไม่อาจต้านทานดวงตาพราวเสน่ห์คู่นั้นได้เลย พี่เชนเป็นคนมีวาทศิล์ปในการพูด ยิ่งเวลาเจรจาธุรกิจ หากเศวยาเป็นคู่ค้า ผู้ร่วมลงทุน หรือหุ้นส่วน มันง่ายมากที่จะตกลงตามสัญญาเพียงแค่นั่งฟังอีกฝ่าย คนเป็นพี่เลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นเขานิ่งไป จูนส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะถูกพี่เชนพาเดินไปยังห้องอาบน้ำที่กว้างและหรูยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวท
ใช้เวลาเพียงสามสิบนาทีในการจัดการทุกอย่าง เส้นผมที่เริ่มแห้งสนิทแต่ยังมีหยดน้ำเกาะตรงปลายอยู่ทำให้ภาพลักษณ์ของนายเศวยาวัยยี่สิบสองปีดูเด็กลงอีกเท่าตัว เขาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมชุดนอนลายทางยาวสีขาวสลับเทาที่แม่บ้านจัดพับเอาไว้ให้อย่างดี สอดสายตามองหาพี่เชนก่อนจะเห็นแสงที่สว่างวาบไปมาตรงโซฟา
พี่เชนนั่งอยู่ตรงนั้น ด้านหน้ามีไอแพดที่กำลังโชว์ตัวเลขหุ้นอยู่ แถมข้างๆยังมีเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้กเปิดหน้าจอที่มีไฟล์ PDF แผนผังโครงการวางไว้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีอยู่ในชุดนอนไม่ต่างจากเขานัก แต่ของพี่เชนน่ะไม่มีลายอะไรเลย เป็นเพียงเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีเทาเข้มเกือบดำเท่านั้น
“พี่เชนทำงานเหรอครับ” จูนท้าวขอบโซฟาด้านหลัง ชะโงกหน้าไปมองอีกคนแล้วยิ้มบาง
“ง่วงไหม?” พี่เชนถาม วางไอแพดลงบนตักแล้วดึงมือเขาให้เดินอ้อมโซฟาไปนั่งข้างๆ เศวยาส่ายหน้า แต่พอได้สายตาดุส่งมาจึงพยักหน้าอย่างจำยอม “เดี๋ยวพี่พาไปนอน”
“ไม่เป็นไรครับ น้องจะเฝ้าพี่เชนทำงาน!” จูนยืนยันหนักแน่น จนโดนตีหน้าผากด้วยนิ้วชี้มาหนึ่งที “ตีน้องทำไม”
“ดื้อไง ง่วงแล้วเราน่ะ”
“อยากอยู่เป็นเพื่อนพี่เชนนนน” จูนลากเสียงยาวพลางโน้มตัวใส่ พี่เชนหันหน้าหนีไปยิ้มก่อนหันกลับมาดึงร่างเล็กเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด จมูกโด่งฝังลงบนกลุ่มผมนุ่มพลางใช้อีกมือปิดฝาพับโน๊ตบุ้กลง
“แต่พี่อยากให้อยู่เป็นอย่างอื่นนะ”
“ครับ?”
“เปลี่ยนนามสกุลแล้วก็เปลี่ยนสถานะได้แล้วคุณชาย”
“อะไรกัน...” จูนเม้มปากแน่น
“ไปนอนเร็วครับ ถ้าไม่ลุกพี่จะอุ้มจริงๆแล้วนะ”
“ดุน้องตลอด”
จูนบ่นงึมงำ เดินตามคนพี่ต้อยๆไปที่ประตูบานใหญ่ มันถูกดันเปิดออกกว้างแล้วอ้าค้างเอาไว้ด้วยไหล่กว้างๆ พี่เชนผายมืออย่างกวนๆแล้วสุดท้ายเราสองคนก็จบลงที่การนอนมองเพดานห้องบนเตียงคิงไซส์ เขานอนไม่หลับ และดูเหมือนพี่เชนก็จะมีอาการเดียวกัน พอเหล่ตาไปมองคนข้างก็ต้องรีบหันกลับมาเพราะทำอะไรไม่ถูก ตอนแรกเขาก็ไม่รู้อะไรหรอก แต่เพราะอายกับดิวมาแอบกระซิบเมื่อเย็นร่างกายมันก็เลยเผลอเกร็งเหมือนหุ่นยนต์มาจนถึงตอนนี้ แค่คำพูดของสองคนนั้นที่บอกว่า ‘คืนเข้าหอวันแรกเนี่ยนะยังไงก็ต้องโดนคำแรกของยอนอนอ’ จูนก็พลันกำมือแน่นแล้ว
ไม่รู้ด้วยแล้ว เขาจะไม่คิดอะไรแล้วนะ
คนตัวเล็กพลิกตัวตะแคงข้างคว้าผ้าห่มมากอดก่อนหลับตาลง พยายามปิดเปลือกตาให้แน่นที่สุดพลางนอนนับเจ้าบารอนกว่าพันตัวที่ลอยกระโดดข้ามรั้วอยู่ในห้วงความคิด
ดวงตาเรียวรีเหล่มองคนข้างกายที่ดูเหมือนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว สังเกตได้จากฝ่ามือที่เคยกำผ้าปูแน่นแต่ตอนนี้มันคลายออก หรือลมหายใจสม่ำเสมอ เปลือกตาปิดสนิทแบบไม่สั่นเกร็งจากการพยายามข่มตาหลับ
เศวยากำลังหลับ
และคเชนทร์คงจะไม่บ้าบิ่นพอที่จะปลุกน้องขึ้นมารับผิดชอบความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตใจและร่างกายเขาตอนนี้หรอก บุคคลที่อายุมากกว่าถึงหกปี ปีนี้ก็ปาเข้าไปยี่สิบแปดแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าคเชนทร์มั่นคงกับน้องมาตลอดสองปี ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่เคยมีคนอื่น ไม่เคยแม้กระทั่งจินตนาการหน้าคนอื่นเวลาที่-
อ่า
เขาเองก็ยอมรับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นคงพูดได้ไม่เต็มปากนักถ้าจะต้องบอกว่าไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับน้องเลย เศวยาน่ารัก ออกแนวค่อนข้างน่ารักมาก ทั้งหน้าตา นิสัย อากัปกิริยา คำพูด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่น่าถนอม น้องเป็นคนซื่อ แต่ไม่ได้โง่ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาชอบ และอีกหนึ่งอย่างคงหนีไม่พ้นความขาวสะอาดที่หากให้เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา คงบอกได้แค่ว่า คเชนทร์อยากได้มันมาไว้ในครอบครอง
ถ้าเปรียบเศวยาเป็นผลไม้สักชนิดหนึ่ง คงเป็นผลไม้ที่เขาเฝ้ามองมันถูกบ่มเพาะอยู่บนต้นมานานถึงสองปี รดน้ำดูแลเอาใจใส่ หาอะไรมาปกปิดเพื่อไม่ให้แมลงหรือฝุ่นผงมาเจาะทำลาย จนป่านนี้ที่เขาเด็ดมันลงมา รสชาติของผลไม้ลูกนั้นคงจะหวานฉ่ำชนิดที่เอาอะไรเฉาะเข้าไปก็คงมีน้ำหวานไหลเยิ้ม อยากลองชิมทีละน้อยเพื่อไม่ให้มันหมด เนื้อด้านในคงจะเป็นสีแดงจัด ส้มจัด หรือเหลืองจัด สีอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ได้แต่จินตนาการเพราะยังไม่เคยได้เห็น
หรือถ้าให้เปรียบเศวยาเป็นเสต็ก ก็คงจะเป็นเนื้อชั้นดีที่ถูดคัดเป็นเกรดที่ราคาแพงที่สุด อาจจะมีเพียงแค่มหาเศรษฐีที่มีเงินจ่ายไหวได้ลองมันเพียงผู้เดียว เป็นเนื้อที่ไม่ว่าจะเอาไปทำอาหารชนิดไหนก็คงถูกปากคนทั้งโลก จะดิบ หรือจะสุก ก็น่ากินเข้าไปให้หมดแล้วเคี้ยวช้าๆเพื่อให้รสชาติแทรกซึมไปตามต่อมรับรส
หรือแม้กระทั่งไวน์ชั้นดีเศวยาก็เป็นได้ เพราะไวน์ที่ถูกเก็บไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม แล้วจึงนำออกมาดื่มตามเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้ ย่อมมีรสชาติที่กลมกล่อมและหอมหวานที่สุด
พูดแบบสัตย์จริง ณ ที่นี้ ณ เวลานี้
คือเขาอยากลองชิมเนื้อชั้นดีพร้อมจิบไวน์สักแก้วแล้วปิดท้ายด้วยผลไม้ลูกโตดูก็แค่นั้น
“จริงๆเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมเจ้าของตัวโตที่พลิกตัวตะแคงกายมองแผ่นหลังเล็กข้างๆกัน คเชนทร์ดึงน้องเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด วางศีรษะทุยที่หนักกว่าปกติเพราะเจ้าตัวหลับไหลอยู่ลงบนท้องแขนด้านในก่อนใช้อีกข้างโอบกอดรอบเอวน้องเอาไว้ “วันนี้พี่จะยอมปล่อยผ่านไปก่อนนะครับ”
“…” ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนถูกพูดด้วย อาหารชั้นเลิศที่เขาเฝ้าจินตนาการถึงรสชาติทำเพียงถูแก้มนุ่มกับท่อนแขนเท่านั้น
“เพราะพรุ่งนี้พี่เอาจริงแน่เศวยา” ปิดท้ายด้วยจูบเเผ่วเบาที่ขมับด้านขวาของคนตัวเล็ก ตามด้วยห้วงนิทราที่ทั้งสองเข้าไปวิ่งโลดแล่นอยู่ในนั้น
การตื่นเช้ามาในอ้อมกอดของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีคงจะเป็นอารมณ์ที่ทำให้มีความสุขที่สุดในโลก แต่ไม่ใช่กับคุณชายเศวยา หิรัญภริณากรณ์ผู้ซึ่งเปลี่ยนนามสกุลมาสดๆร้อนๆเมื่อวานนี้ เพราะเหตุการณ์ที่เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นดวงตากลมโตของคนเป็นพี่ ก่อนจะระลึกได้ว่าตนนั้นซุกอยู่ในอกอุ่นมาทั้งคืนก็เล่นเอาตัวแข็งทื่อ โชคดีหน่อยที่พี่เชนเหมือนจะรู้ อีกฝ่ายถึงได้หัวเราะกลบเกลื่อนเเล้วผละตัวออกไปเตรียมอาหารเช้าโดยไม่ลืมจุ๊บกลีบปากอวบอิ่มเบาๆอีกด้วย
เศวยายังไม่ได้ลุกจากเตียง เขาไปทำความสะอาดร่างกายมาแล้วแต่ก็ยังมานั่งจุมปุ้กอยู่ที่เดิมเพราะไม่กล้าสู่หน้าคนที่อยู่ด้านนอก มือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเหล่าเพื่อนพ้องในกลุ่มจบแล้วทำอะไรดีกำลังส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์มาไม่หยุด แต่ละข้อความกทำให้เขาหัวเราะบ้าง หน้าร้อนบ้าง รีบไถๆเลื่อนตัวอักษรสามตัวอย่าง ยนน ไปให้ไกลที่สุด
ทำไมทุกคนถึงชอบแกล้งเขากันนัก ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“อยากออกไปเดินเที่ยวไต้หวันไหมครับ” พี่เชนเดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดไม้ที่บนนั้นมีขนมปังปิ้งทาเนยส่งกลิ่นหอมกรุ่น รวมถึงนมกลิ่นวนิลลาอุ่นๆในแก้วใบโตด้วย มันถูกวางลงบนเตียง ก่อนคนเป็นพี่จะนั่งตามลงมา “ทานรองท้องก่อนนะ พี่พาออกไปข้างนอกจะได้ทานอะไรได้เยอะ”
“พี่เชนไม่เห็นต้องลำบากเลย” ถึงริมฝีปากจะมู่ทู่ แต่สุดท้ายก็เผยรอยยิ้มเพราะรสชาติของเนยและกลิ่นหอมของนมทำให้เขาอารมณ์ดี พอทานเลอะเทอะเข้าหน่อยก็โดนมือเรียวปาดมุมปากออกให้ พี่เชนยังดูแลเขาดีเหมือนเดิม เหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา เหมือนเมื่อปีก่อน เหมือนสองปีที่แล้ว สายตาคู่นั้นยังมองมาแค่เขา ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักอย่าง “คือ...พี่เชนครับ”
“หือ” อีกฝ่ายทำเพียงขานรับในลำคอ
“เมื่อคืน” แผ่นขนมปังที่เจ้ากระต่ายตัวขาวงับไปเพียงสองคำถูกวางลงบนจานเดิม ก่อนใบหน้าหวานจะแหงนมองคนเป็นพีที่ยังใจเย็นและนั่งนิ่งเหมือนทุกที วันนี้พี่เชนดูไม่เหมือนกาแฟเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นที่ดวงตาคู่นั้นที่ทำให้พี่เชนเหมือนบรั่นดีราคาแพง พร้อมที่มอมเมาเขาได้ทุกเมื่อ “คือ...”
“ทำไมเหรอ”
“คือว่า...” จูนรู้สึกได้ว่าตนเองหน้าแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุก ยิ่งกว่าพริกขี้หนูที่ใกล้ร่วงโรย ยิ่งกว่าดอกกุหลาบ ยิ่งกว่าสีของกระเจี๊ยบก็ตอนนี้ ตอนที่เห็นแววตาดุจหมาป่าหรือราชสีห์หรือจระเข้หรืออะไรสักอย่างที่พร้อมล่าเหยื่อจากพี่เชน คนตัวสูงขยับเข้ามาใกล้ ยกถาดนั้นไปวางไว้บนพื้นอย่างไม่ใยดี ก่อนหันกลับมามองตาเขาที่ยังคงอ้ำอึ้งอยู่กลับ “...น้อง”
“จะพูดอะไรเหรอจูน” พี่เชนเข้ามาใกล้มากขึ้นอีก ลมหายใจของเราประสานเป็นเส้นเดียวกันแล้ว อีกฝ่ายหลุบตามองกลีบปากบางที่มีเศษขนมปังติดเล็กน้อย ก่อนช้อนตาขึ้นมาจ้องตากันจนเขาเสียศูนย์ ไม่ได้การแล้ว อันตราย...ยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก “พูดต่อสิครับ”
“พี่เชนจะพาน้องออกไปข้างนอกนี่นา“ จูนยกมือขึ้นแตะอกแกร่งอัตโนมัติตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่ดูเหมือนยิ่งหนีห่างเท่าไหร่ร่างกายก็ยิ่งเอนเอียงลงกับเตียงนุ่มมากขึ้นเท่านั้น “พี่เชน...”
“พี่พาออกไปแน่ๆ” จูนกำลังมือสั่น ทำอะไรไม่ถูกจนต้องสอดสายตามองหาทางหนีทีไล่ ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจ ไม่ใช่อะไรทำนองนั้นเลย แต่เขาต้องทำหน้ายังไง ต้องทำอะไร หรือต้องเริ่มจากอะไรคนอย่างคุณชายเศวยาไม่เคยรับรู้มันเลย “แต่พี่ว่าพี่มีธุระต้องจัดการกับเราก่อนนะครับ”
“อะ...เอาไว้ก่อนก็ได้...” เสียงของเขาแผ่วเบาลงไปทุกที เหมือนถูกพ่อมดร้ายร่ายคาถาให้หมดโอกาสเถียง ที่ทำได้ต่อนี้คือรับชะตากรรมของตนเท่านั้น เพราะทันทีที่เศวยาเตรียมออกแรงดันคนพี่ ริมฝีปากก็ถูกครอบครองจากคนด้านบนที่คร่อมทับกันอยู่ทันที ความรู้สึกเหมือนกับวันแรกที่เราจับมือกัน ไฟฟ้ามากมายไหลผ่านร่างกายเขา มันดังเปรี๊ยะๆอยู่ในทุกเซลล์ประสาทที่ส่งต่อ มันดูดกลึงแผ่วเบาเหมือนชิมฟองนม แต่ก็ยังแฝงไปด้วยรสขมจากการคั่วเมล็ดกาแฟแบบลวกๆ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นบรั่นดีแบบที่เขาบอกเมื่อคู่เมื่อถูกบุกรุกหนักกว่าเดิม
เรี่ยวแรงที่เเขนขาถูกพี่เชนดูดออกไปหมด เรียวลิ้นบางสอดแทรกเข้ามาลิ้มลองชิมรสชาติวนิลลาจากโพรงปากเล็ก จูนถึงกับตัวสั่นเพราะเขาทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ได้แต่นอนนิ่งปล่อยให้ถูกรุกรานเข้ามาได้ง่ายๆอย่างไร้ป้อมปราการ ก้อนเนื้อนุ่มสีชมพูอ่อนตวัดไปมาเบาๆตอบรับความร้อนแรงจากคนเป็นพี่ จูนก็แค่อยากพูดให้พี่เชนหยุดมันก่อนเพราะเขาหายใจไม่ออก แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งดูดดึงมันเข้าไปแล้วลอบเลียริมฝีปากเขาจนชุ่มฉ่ำ
มือหนาจับชายเสื้อเขาเพียงเเผ่วเบา มันไม่ใช่คำขออนุญาต แต่พี่เชนกำลังให้คำเตือนเขาต่างหากว่าความอุ่นกำลังจะลูบไล้เข้ามาอย่างเชื่องช้า ผิวกายที่เคยเรียบตึงพลันหดตัวให้เส้นขนลุกชูชัน ชายเสื้อเลิกขึ้นสูงเพิ่มเพราะอีกฝ่ายสอดมือเข้าไปที่แผ่นหลัง วกกลับมาที่หน้าท้องแบน สูงขึ้นมาจนถึงยอดอกที่ทำเอาคนตัวเล็กถึงกับสั่นสะท้าน
“อือ”
เสียงหวานหลุดออกมาเพราะจูนหายใจไม่ทัน เขาร้องท้วงซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่มันกลับยิ่งกลายเป็นสิ่งกระตุ้นให้ช้างใหญ่ตัวโตเคลื่อนหน้าลงต่ำ ฟัดความหอมตามซอกคอแล้วลิ้มรสโดยปลายลิ้นอุ่นตามที่ใจปรารถนา คุณชายเศวยางอเข่าสองข้างเข้าหากัน ปลายเท้าแบะชี้ออกเพราะอึดอัดไปหมดทั่วทั้งท้องน้อย ไม่เข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่มันสับสนในจิตใจเหลือเกิน ระหว่างการกอดพี่เชนเอาไว้ให้แน่น กับการผลักอีกฝ่ายออก เขาควรจะทำอะไร ยิ่งความเปียกชื้นแนบไปทั่วคอขาว กดย้ำซ้ำๆที่ลูกกลมเล็กตรงกึ่งกลางจนต้องแหงนหน้าเชิดส่งเสียงแปลกประหลาด ภายในจิตใจก็ยิ่งอลหม่าน
แต่ก็คิดอะไรได้ไม่มาก เพราะสุดท้ายเศวยาก็เป็นเหมือนกระต่ายน้อยที่ถูกล่ามโซ่ ทันทีที่ดวงตาเรียวกลมผละออกมาจดจ้องกัน กระดุมเสื้อทุกเม็ดเขาถูกถอดอย่างเชื้องช้าทั้งที่สายตาเรายังประสานกัน เศวยาเขินจนใจเต้นเเรง มือเล็กที่พยายามยื้อเสื้อตัวเองเอาไว้ถูกคนพี่เกลี่ยนิ้วโป้งแผ่วเบา พี่เชนไม่ได้พูด แต่แสดงออกทางร่างกายด้วยการแนบหน้าผ้าลงมา จูบปลายจมูกรั้น ต่อด้วยจูบแสนหวานให้ซ้ำๆ จนเขายอมให้สาบเสื้อถูกแหวกทีละนิด สุดท้ายจึงเหลือเพียงความเปลือยเปล่าของร่างกายช่วงบน เผยความขาวเนียนใสไร้รอยด่างใดๆที่ไม่มีใครเคยได้เห็น
“น้องขาว...ขาวกว่าที่พี่คิดอีก” พี่เชนพูดพร้อมยิ้มมุมปาก จูบลงบนไหล่บางอย่างหวงแหนพลางย้ายจมูกไปที่หลังใบหู สองมือที่ไวยิ่งกว่าชีต้าร์ ล้วงลึกลงไปที่แผ่นหลัง วงกลับไปที่ต้นขา ช้อนเข่าสองข้างของเขาชึ้น แทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางพลางปลดกระดุมกางเกงแสล็กสีดำสนิทบนกายเนียน ทุกอย่างช่างโชกโชนและว่องไว เหมือนอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ที่เรียนจบมาครบพันหลักสูตร ส่วนตัวเขาเองเป็นเพียงนักเรียนใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดอ่านหนังสือ
“พะ…พี่”
“อือ” พี่เชนครางตอบรับและหยุดไว้เพียงเท่านั้น เพราะอีกฝ่ายเคลื่อนตัวลงต่ำ เล่นกับยอดอกสีหวานด้วยลิ้นร้อนจนกายบางบิดเร่า เศวยาไม่เคยโดนกระทำ ไม่เคยถูกแตะต้อง พอถูกกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็เลยรู้สึกอึดอัดส่วนนั้นแทบบ้า รู้สึกอยากตวาดออกมาด้วยคำว่าอะไรสักอย่าง แต่คิดเท่าไหร่สมองมันดันตื้อราวกับหยุดทำงาน
พี่เชนยังคงใช้มือและแขนยาวๆได้อย่างดีเยี่ยม มันล้วงลงไปช้อนสะโพกกลมสองก้อนเข้าใส่อุ้งมือ บีบคลึงเบาๆหลังปลดซิปออกไปแล้วตามแบบฉบับคนมือไว กว่าจะรู้ตัวอีกทีกางเกงที่เคยปกปิดส่วนล่างเอาไว้ก็ถูกดึงออกพร้อมกับรอยสีกุหลาบเต็มแผ่นอกราวกับศิลปะล้ำค่าที่ถูกสร้างโดยใช้ระยะเวลาน้อยนิดเท่านั้น
“ฮือ” จูนปิดหน้าด้วยสองมือ หุบขาเข้าหากันเมื่อรู้สึกถึงความเหนียวที่ส่วนปลาย แต่พี่เชนกลับดึงมือเขาออก ปลอบประโลมด้วยจุมพิตแสนอบอุ่นที่หน้าผากมน ผละออกไปแล้วถกเสื้อไหมพรมแขนยาวของตัวเองออกจากร่าง เผยความกำยำแบบชายชาตรีแท้ๆ แต่ยังคงความสะอาดและความเป็นผู้ดีอยู่แม้กระทั่งไร้อาภรณ์
“เขินเหรอ?” พี่ยิ้ม ยิ้มเพียงแค่มุมปาก และจูนก็คิดว่ามันร้ายกาจที่สุด “ไม่ต้องเขินนะ”
“บอกว่าไม่ให้แกล้งน้อง” เศวยาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พี่เชนอยากให้เขาทำหน้ายังไงกันกับการที่ต้องนอนบนเตียงโดยบนเนื้อตัวหลือเพียงชั้นในตัวเดียวแบบนี้ แล้วสายตาคู่นั้นที่มองมาก็ร้ายกาจอย่างกับหมาป่า
“น้องหวาน” อีกฝ่ายลดระยะห่างระหว่างเราด้วยการทาบมือลงกับผืนเตียง “พี่อยากแกล้ง”
“…คนใจร้าย”
“พี่ยอมใจร้ายเลยเศวยา” พี่เชนโน้มตัวต่ำ “ถ้าได้แกล้งน้องแรงๆ”
ร่างกายของเขากลายเป็นของพี่เชนอีกครั้ง เมื่ออีกคนกวาดฝ่ามือบดบีบจนเกิดรอยแดงตามง่ามนิ้ว เขาอยากถามจริงๆเลยว่าพี่เชนปกติก็เป็นคนไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ทำไมเวลานี้ถึงได้ใช้ริมฝีปากโชกโชนมากขนาดนั้น
เพราะมันเที่ยวตอดจูบไปทั่วหน้าท้อง วกต่ำลงไปที่โคนขาด้านใน สะโพกกลมถูกบีบคลึงเคล้าคลอไปด้วย ก่อนลากยาวไปจนถึงหัวเข่า และกดจูบสุดท้ายที่ปลายนิ้วเท้าจนจูนตัวเกร็งทื่อ
“พี่เชน-” เสียงหวานพยายามจะเอ่ยห้าม
“พี่รักน้องนะรู้ไหม” พี่เชนวางปลายเท้าเขาลงอย่างแผ่วเบา เศวยาปากสั่นจนตอบกลับคำพูดบอกรักเวลานี้ไม่ถูก เขาเห็นเพียงแค่ภาพพี่เชนกับไหล่กว้างๆโค้งตัวลงนิดหน่อย ก่อนถอดอาภรณ์สองชิ้นสุดท้ายออกจากร่าง เผยอาวุธที่ซ่อนตัวอยู่ด้านในที่ขนาด...และอานุภาพของมันคงไม่ต่างอะไรกับปืนใหญ่ ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่นทันทีเพราะรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หัวใจดวงเล็กเท่ากำปั้นเหมือนพองโตอยู่ในอก มันดังโครมครามสลับกับตึกตักหนักขึ้นอีกเมื่ออีกคนโน้มใบหน้าต่ำลงมาที่กลางหว่างขา
เรียวขาสวยถูกแยกออกอีกครั้ง จูนจิกเท้าเกร็งเมื่อปลายลิ้นอุ่นทาบลงบนชั้นในตัวบางจนเปียกชื้น มันตวัดโลมเลียไปตามช่องทางด้านหลัง ก่อนผ้าฝ้ายที่กั้นอยู่จะถูกแหวก เผยเนื้อจีบที่ยังคงขาวเนียนและเป็นสีชมพูใสเพราะยังไม่เคยมีผู้ใดได้สัมผัส เขาอยู่ตรงนี้จึงไม่เห็นรอยยิ้มพอใจของอีกฝ่าย ได้แต่เพียงจิกกำผ้าปูที่นอนร้องอืออาในลำคอเพราะลิ้นหยาบลากไล้สอดแทงเข้าไปในโพรงอุ่น
มือหนาจับสะโพกกลมสองข้างแยกออก แนบใบหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นอีกจนปลายจมูกโด่งกดฝังลงไปในเนื้อนุ่ม ลากไล้วนกล้ามเนื้อลิ้นที่แสนเเข็งแรงเล่นเอาเด็กตัวน้อยหอบแฮ่ก จูนตัวเกร็งไปทั้งตัว ริมฝีปากสั่นพอๆกับร่างกาย หุบขาเข้าหากันด้วยสีหน้าทรมาน
คนแก่ประสบการณ์กว่ามากเห็นแบบนั้นจึงถ่มน้ำใสเหนียวลงที่ปลายนิ้ว สอดนิ้วที่ยาวที่สุดเข้าไปทีละนิดก่อนจะพบว่ามันคับแน่นแค่ไหน จูนเสียงสั่นเทา ร้องเรียกชื่อบุคคลผู้ซึ่งถูกจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมายว่าเป็นสามีซ้ำแล้วซ้ำอีก ทันทีที่ก้านนิ้วเรียวขยับออกแล้วกระทุ้งเข้าไปใหม่ แผ่นหลังบางก็งอโค้งขึ้นเพราะถูกกระตุ้น
“อา…พะ พี่เชน อื้อ” จูนครางเสียงหวาน มันเป็นโทนเสียงที่คนฟังฟังแล้วรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินกว่าพันล้านที่เสียไป คเชนทร์แทบคลั่งเมื่อช่องทางอุ่นตอดรัดก้านนิ้วหนักกว่าเก่า ยิ่งมือหนาขยับเร็วขึ้นเท่าไหร่ คุณชายเศวยาก็ตอบสนองกลับมาดีเท่านั้น
ก้อนเนื้อถูกแหวกออกกว้าง ก่อนนิ้วที่สองจะตามเข้าไปติดๆ จูนตีเท้าสองข้างลงกับพื้นเตียงนุ่ม ผ้านวมยับยู่ยี่จากการถูกมือเล็กกุมแน่นแล้วดึงรั้ง ศีรษะกลมสะบัดไปมาจนท้ายทอยเกิดสีแดง ยิ่งพี่เชนก้มหน้าลงไปใช้กลีบปากอุ่นซุกไซร้ที่โคนขาเฉียดไปตามส่วนเร้นลับเขายิ่งจะแย่
“อ๊ะ อ้ะ น้อง...เป็นอะไรไม่รู้ อื้อ”
“ไม่ต้องฝืน”
มันเป็นความรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยมาก ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน หัวใจเต้นเร็วและเเรง ปวดมวนไปทั่วท้องน้อย รู้สึกเหมือนอยากปัสสาวะแต่ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ทันทีที่เขาเกร็งไปทั้งร่าง ความอุ่นก็ถูกฉีดออกมาจากปลายตรงนั้น ขาแข้งและสะโพกกระตุกกึกกักจนต้องแอ่นสะโพกรับแกนนิ้วอุ่นที่เข้ามานิ้วที่สาม จูนนอนนิ่งบนเตียง เงยหน้ามองพี่เชนอย่างไม่เข้าใจ แต่อีกฝ่ายดูไม่สะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น
“ไหวไหม?” พี่เชนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อีกคนยิ้มบางมาให้เขาแล้วสอดนิ้วทั้งสามค้างเอาไว้ เศวยาตึงแน่น ปวดร้าวไปตามสะโพก ขาสองข้างแยกออกกว้างเพราะมีไหล่ของพี่เชนค้ำเอาไว้ ท่าทางตอนนี้ช่างน่าอายเสียจริง แต่ตอนที่โดนดึงชั้นในออกไปกลับไม่แม้แต่จะเอ่ยปากท้วงติง “ถ้าไม่ตอบพี่จะไม่ถามรอบสองแล้วนะ”
“ทำไมดุ” เศวยาเอ่ยเสียงแผ่วอย่างหมดทางสู้
“พี่ยังดุได้มากกว่านี้อีก”
“พี่เชน” คนน้องถึงกับหลับตาปี๋เพราะอาย ในสมองคิดปนกันมั่วไปเสียหมดว่าเขาต้องทำยังไง ต้องเริ่มด้วยอะไร “...มันเจ็บ...ใช่ไหมครับ” น้องกระต่ายตัวน้อยเอ่ยถามทั้งที่หน้าแดงจัด พี่เชนยิ้มมุมปาก จับปืนใหญ่รูดรั้งเบาๆจ่อเข้าที่ช่องทางจูนเบ้หน้าทั้งที่มันเพียงแค่กดเข้ามาไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรดี “ฮือ”
ดวงตาเรียวมองภาพภรรยาเปลือยเปล่าแล้วก็ต้องเลียริมฝีปาก คเชนทร์ยอมรับว่าแอบเฝ้านึกภาพเศวยายามไร้อาภรณ์มาตลอดสองปีว่ามันจะเยี่ยมยอดสักเพียงไหนเชียว แล้ววันนี้ก็ได้รับคำตอบ ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณและหน้าตา ทุกอย่างล้วนถูกพระเจ้ารังสรรค์มาอย่างดีเยี่ยม อีกทั้งรสชาติยังหวานฉ่ำไม่ต่างอะไรจากที่คิดไว้แถมอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป
จับตรงไหนก็แดง จูบตรงไหนก็ขึ้นรอย ช่างขาวและอมชมพูดั่งลูกพีชสุกงอม
“เจ็บ...มากๆด้วย” พ่ีเชนไม่ได้โกหกกัน และมันก็เจ็บจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายจับขาเขาเเยกออกเพิ่ม จ่อความแข็งขืนเข้ามาทีละนิด มันเด้งหลุดออกเพราะความคับแน่นจนคนพี่ครางเสียงต่ำ แล้วก็สูดปากดันเข้ามาใหม่ได้เพียงครึ่ง แต่เท่านั้นจูนก็รู้สึกเหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลม เสียงสูดน้ำมูกที่ดังขึ้นทำให้คนเป็นพี่ต้องรีบโน้มตัวลงมาหยิบมือน้อยๆออก จูบซับน้ำตาให้ภรรยาเพียงคนเดียวก่อนจุมพิตกลีบปากบวมเจ่อ “พี่ไม่โกหก เพราะถ้าน้องคิดว่ามันเจ็บ มันก็จะเจ็บน้อยกว่าที่น้องคิด”
“อือ…ฮึก น้องไม่เข้าใจ”
“อยากเข้าใจไหมครับ?”
“พะ…พี่เชนจะทำยังไง” จูนมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง เขาเคยบอกแล้วใช่หรือเปล่าว่าพี่เชนร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ จอมวางแผน มีสายตาที่เอาไว้ทำธุรกิจโดยเฉพาะ คาดเดายาก และเหมือนเข้าไปวิ่งวนในเขาวงกตหากตกหลุมพรางที่อีกฝ่ายขุด
พี่เชนไม่ได้ตอบคำถามเขา อีกฝ่ายท้าวยันเตียงลงมาข้างไหล่บาง ยืดตัวขึ้นสุดความยาวเเขน ดึงสะโพกออกจนจูนรู้สึกถึงความมนและรอยหยักที่ครูดอยู่ในตัวเอง มันทำให้ตัวเขาถอยตามไปทันทีที่พี่เชนดึงออก และก็ต้องสะเทือนทั้งร่าง ร้าวสะโพกอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายกระแทกเข้ามาทีเดียวจนสุด
เสียงคล้ายการกระแทกกันของประตู ไม่สิ อาจคล้ายเสียงมือสองมือตีเข้าหากันมากกว่าดังขึ้น มันดังมากเสียจนรับรู้ถึงแรงส่งท่ีอีกฝ่ายใช้เมื่อครู่ ใบหน้าหวานเบ้ กลีบปากอิ่มเผยอกว้างสั่นเทาร้องกระสันจนถึงทรวงใน
“อ๊า!”
เขาร้องด้วยความเจ็บ หยาดน้ำตาอีกหยดไหลออกมาอาบแก้ม พี่เชนเช็ดออกให้โดยไม่ได้เบามือนัก และเขาคิดว่าเหตุผลคงเพราะส่วนเชื่อมต่อที่ถูกบีบรัดแน่นอยู่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับสูดครางซี้ดปากอย่างหื่นกระหายและไร้สติ
พี่เชนตอนนี้เป็นพี่เชนที่เขาไม่เคยเห็น เป็นอีกมุมที่เหมือนสัตว์ร้ายเพิ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากกรงทันทีที่เรารวมความรู้สึกกันด้วยความวาบหวาม เส้นผมสีดำสนิทที่ไม่ได้เซ็ตถูกมือหยาบเสยขึ้นอย่างลวกๆ หน้าท้องเกร็งจนเห็นกล้ามเนื้อ สันกรามคมที่เด่นชัดพอๆกับสันจมูก ริมฝีปากล่างถูกกัดเม้มเพราะความรู้สึกที่ถาโถมเข้าใส่
เช่นเดียวกับร่างเล็กที่สั่นเทิ้ม เกร็งค้างทันทีที่อีกฝ่ายถอนสะโพกออกแล้วอัดกระแทกเข้ามาใส่จนสุดอีกครั้ง เสียงเสียงเดิมดังขึ้น กระทบกันซ้ำๆอย่างแนบเน้นและอัดเน้น มันเชื่องช้าแต่ทว่าลึกสุดด้ามดาบจนคนเป็นน้องแทบชนหัวเตียง พี่เชนสูดลมมวลมหาศาลเข้าทางโพรงปากจนเกิดเสียงหอบ โน้มหน้าลงมาบดจูบกลีบปากอิ่มที่โดนกัดไปเมื่อครู่ก่อนเริ่มขยับสะโพก
มือใหญ่ที่เคยท้าวฟูกเปลี่ยนไปจับหัวเตียง แต่พี่เชนก็ยังมีแรงมากพอในการใช้มือข้างถนัดคว้าไหล่เขาเอาไว้มั่น ดึงเข้าหาลำตัวพร้อมอัดกระแทกส่วนล่างเข้ามาซ้ำๆ
มันเหมือนพายุพัด เหมือนเขากำลังยืนอยู่ในทอร์นาโด รุนแรง น่าเวียนหัว สั่นคลอนไปหมด อีกทั้งยังน่ากลัว แต่ก็มืดมน น่าค้นหา อยากออกไปจากตรงนี้ อยากให้มันเร็วขึ้นอีก อยากให้มันรุนแรงจะได้จบ ทุกอย่าง ทุกความรู้สึกพากันสาดเข้าใส่ดั่งคลื่นสึนามิ
“อ้า อ๊ะ พิ...พี่เชน” จูนไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงร้องเสียงน่าอายพวกนี้ มันออกมาเอง ไม่มีใครเคยสอน แม้กระทั่งคุณป้าแม้นก็ยังไม่เคยพูดถึง
“ครับ พี่ อ่าห์ อยู่นี่”
เสียงร้องครวญครางที่ดังขึ้นเริ่มไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่กลับเป็นความรู้สึกจากการโดนส่วนมนบดขยี้ มันกระแทกซ้ำๆ เป็นสิบๆรอบติดต่อกันโดยไม่พัก อัดเข้าใส่จนตัวสั่นเกร็ง จูนสะบัดใบหน้าไปมา ไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องอึดอัดถึงปานนี้ อึดอัดจนเผลอจิกลงกับผ้านวมแน่น ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดแจงจับเรียวขาของตัวเอง แยกออกกว้างแล้วกระชากเข้าหาตัวจนแผ่นหลังบางครูดไปกับเตียง สะโพกถูกอัดแน่นแนบชิดไปกับหน้าขาคนพี่
พี่เชนเหมือนทหารที่มีหน้าที่ควบคุมปืนใหญ่แรงอัดสูง ตอนนี้กำลังบรรจุดินปืนแล้ว และจุดชนวนทันทีปล่อยให้เจ้าปืนนั้นทำงานด้วยการปล่อยลูกระเบิดออกไปไกล เศวยาคงจะเป็นเป้าหมายหลักในการทำลายล้างครั้งนี้
สิ่งที่ร่างกายเขากำลังบีบรัดและดูดเอาไว้แน่นมันช่างแข็ง และใหญ่โตเหมือนท่อนฟืนได้อีกอย่าง จูนไม่รู้ว่าควรเปรียบกับอะไรแล้วดี แต่สิ่งที่กำลังขยับเข้าออกจากร่างกายทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เขาเริ่มทำความเข้าใจใหม่ว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่ท่านพ่อกับหม่อมจันพยายามดูแลรักษาเขามาอย่างดี เพราะมันคับ แน่น จนชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปีแทบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนต้องสบถและก่นด่าทุกสรรพสิ่งอย่างหยาบคาย อารมณ์ดิบของพี่เชนถูกปล่อยออกมาหมด
เรียวขาสวยที่เคยถูกจับไว้ทั้งสองมือ ถูกพี่เชนปล่อยลงทิ้งหนึ่งข้าง ก่อนใช้อีกข้างเป็นเสามั่น จับกายเล็กพลิกตะแคงเพียงเล็กน้อยตามด้วยการเสยส่วนมนเข้าบี้ทุกหน่วยตารานิ้ว
ถึง ณ ตอนนี้จูนเข้าใจแล้วว่าตัวเองนั้นเป็นเพียงเด็กน้อย จะเอาอะไรไปสู้กับคนมีประสบการณ์มากมายแบบคเชนทร์ หิรัญภริณากรณ์กัน
“Fuck shh”
“พี่ อ้ะ เชน น้อง...จุก”
“Hang in there”
เตียงคิงส์ไซส์เล็กไปโดยปริยายเมื่อพี่เชนคือสิ่งที่ใหญ่ที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ อีกทั้งยังอุ่น ไม่เลย มันร้อนต่างหาก ร้อนเสียจนเหมือนเพลิงไฟที่กำลังมอดไหม้ โหมกระหน่ำพัดเอาควันขโมงไปทั่งอาณาบริเวณ สอดแทรกเข้ามาดังเชื้อเพลิงเช่นไม้แห้งที่เสียดสีกันสองท่อนยามต้องจุดไฟ รุนแรง รวดเร็ว กระทุ้งงัดลึกจนแผ่นหลังบางแอ่นโค้ง สะพานข้ามแม่น้ำทั้งหลายคงไม่สู้ท่าทางเย้ายวนอารมณ์ของหม่อมราชวงศ์เศวยาในตอนนี้
ใบหน้าหวานสั่นไปมาตามแรงอัดกระแทก ช้าบ้าง รวดเร็วบ้าง แล้วแต่คนพ่ีจะมอบให้ สิ่งที่จูนทำมีเพียงสองอย่างคือการส่งผ่านอารมณ์ให้พ่ีเชนพึงพอใจด้วยเสียงหวาน และใช้ช่องทางบีบรัดสิ่งที่กำลังทำหน้าที่สวนเข้าออกอยู่เป็นจังหวะแบบคุมไม่ได้
“อ่ะ อ๊า อื้อ!”
เขาครวญครางอย่างไม่ได้ศัพท์ ระบบประสาทเสียศูนย์การรับรู้ เหมือนกับพี่เชนที่จับกายบางตะแคงข้างฟัดไหล่ขาวๆแล้วอัดเจ้าท่อนไม้นั่นเข้ามาอีก ขาเรียวถูกพับงอขึ้นหนึ่งข้าง แต่ดูไม่ได้ดั่งใจคนตัวสูง มันถึงได้ถูกจับยกขึ้นสูงแล้วไปเกี่ยวงอที่ข้อแขนอีกคน
เอวสอบทำงานอย่างดีเยี่ยม มันรัวอัดอาวุธร้ายเข้าใส่โพรงกระต่ายน้อยที่เต็มไปด้วยดอกไม้ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน เต็มไปด้วยเกสรที่ผลิตน้ำหวานหวานฉ่ำน่าลิ้มลอง และแน่นอนว่าทันทีที่ถูกบุกรุก เจ้ากระต่ายทั้งหลายก็ตื่นกลัว พองขน บีบอัดเเน่นกันอยู่ในที่ที่เดียว รัดตัวเองเอาไว้เพราะกลัวจะถูกจับกิน
“อ่า…เศวยา” พี่เชนเอ่ยขาน แต่คนถูกเรียกไม่มีแม้แต่สติจะตอบรับ จูนคว้าผืนเตียงไว้แน่น บีบรัดก้อนกลมสองก้อนเข้าใส่มัน ก่อนกระตุกเกร็งปล่อยให้ความน่าอายหลั่งไหลหยดย้อยลงมาที่หน้าขาขาว “ซ้ีด น้องดีชิบ ดีมากจริงๆ” พี่เชนไม่ได้สนอาการเกร็งกระตุกร่อนสะโพกรัวจากการปลดปล่อยของคนน้องด้วยซ้ำ อีกฝ่ายทำเพียงพับขาเรียวที่เคยจับเอาไว้ขึ้นมาถึงอกบาง ปล่อยอีกข้างให้เป็นอิสระของเศวยาในการแยกออกหรือขยับชันเข่า จ้องมองโพรงคับแน่นแล้วรัวถี่เข้ามาให้เนื้อครูดปลิ้น
เศวยาอายจนอยากมุดหมอนหนี เขาแอ่นสะโพกสูงจนช่องทางลอย พี่เชนจึงสอดใส่อาวุธนั้นเข้ามาในตัวลึกขึ้นไปอีก และเขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมร่างกายถึงได้ต้องการให้มันเข้ามาอีก เข้ามาซ้ำๆ
เสียงเฉอะแฉะเหมือนย่ำอยู่กลางน้ำตกดังขึ้นเรื่อยๆ สลับวนไปกับเสียงตีมือ แต่คราวนี้ไม่ใช่การตีมือสองข้าง หากทว่ากลับคล้ายกับการตีมือลงกับต้นขาที่มีเนื้อแน่นๆ มันเป็นการตีที่รุนแรงจนทิ้งร้อยแดงเอาไว้ด้วย แถมยังทิ้งความแสบจนเศวยาเผลอทำสิ่งที่เรียกว่าการขมิบ ตอดรัด คนเป็นน้องจิกเตียงแน่น เสียวกระสันไปถึงไขกระดูก
ครั้งแรกของเขาคือวันนี้ ตอนนี้
ไม่ว่าจะหงายตัว ด้านข้าง หรือก้มตัวเหมือนในตอนนี้ตามแต่ใจพี่เชนปรารถนาจะพลิกเขาเหมือนตุ๊กตาราชินี เศวยาก็ใกล้บ้าเต็มที ร่างของเขาเบาหวิว แต่แรงที่อัดกระแทกเข้ามากลับไม่เบาตามกันเลย
“อ้ะ อาา น้อง... อื้อ” จูนหอบแฮ่ก ใบหน้าแดงเถือก เหล่มองชายวัยยี่สิบแปดปีที่เชิดหน้าสูงกัดฟันร้องระงมอยู่ด้านหลังอย่างขวยเขิน หัวใจสูบฉีดบีบอัดเลือดอีกครั้ง ฟูตัวจนแน่นท้วมไปเต็มอก ความรู้สึกนั้นมันรุนแรงกว่าเดิมยามอีกฝ่ายจับเอวบางดึงเข้าใส่ตัว สิ่งของด้านในเปลี่ยนทิศทางการบดขยี้ไปทั่วทั้งโพรงอุ่นร้อนที่ถูกขยายขนาดโดยปลายมนอัดเข้ามาไม่ซ้ำตารางนิ้ว บ้างก็เข้ามาลึก บ้างก็เข้ามาถี่ๆ บ้างก็ควงหมุนวนเหมือนเเกนเข็มนาฬิกาที่ถ่านรวน
“มันเป็นยังไง อ่า เศวยา”
“น้อง อ้ะ มะ ไม่รู้ อ๊า” ความลึกที่มันสอดใส่เข้ามาทำให้ใบหน้าหวานเชิดขึ้น แขนสองข้างที่ท้าวเตียงเอาไว้เกือบอ่อนแรงลงในขณะนั้น แผ่นหลังเขารู้สึกได้ถึงความอุ่น และมันน่าจะมาจากร่างกายของคนที่มีนามว่าคเชนทร์ ช้างใหญ่จากไทเปที่ตอนนี้กำลังโน้มตัวมาจูบบนบ่าเล็กอย่างปลอบประโลม “พี่เชน...แฮ่ก เหนื่อย น้องเหนื่อย”
“อือ พี่รู้” ริมฝีปากนั้นกำลังพรมจูบ ดูดดึงเนื้อนุ่มเข้าไปแล้วกัดแผ่วเบาเพื่อสร้างรอยแดง “แล้วน้องรู้ไหมว่าตัวเองเป็นอะไรอีก”
“ฮือ น้องไม่รู้ อ้ะ” เอวสอบดันส่วนแข็งขืนเข้ามาอีก แนบแน่นกับสะโพกขาวเนียนจนไม่เห็นช่องวาง ดึงออกไปอีกครั้งจนเศวยาตัวเคลื่อนตามจากความแน่น ก่อนอัดกระแทกเข้ามาพร้อมมือหยาบที่จับเข้ายังส่วนเร้นลับของเขา ใช้มือกอบกุมแล้วขยับ ทั้งบีบและรูดรั้งจนเศวยาต้องกลั้นลมหายใจ
“You feel spasm” พี่เชนกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู “ถ้าเสียว ก็บอกพี่สิครับ”
“อื้อ พิ...เชน” อีกครั้งที่โดนกระทุ้ง เศวยากระตุกเกร็งทรุดอกลงบนฟูกนุ่ม รู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งออกจากร่างกายที่ส่วนนั้น เขานอนหอบเหนื่อย พลิกใบหน้าเอียงข้างเหล่มองอีกคนที่คร่อมแขนท้าวทับกัน สะโพกยังคงโด่งสูง ต่อเนื่องเชื่อมเป็นส่วนเดียวกับอาวุธสุดร้ายกาจจากพี่เชน สายตาของคนเบื้องบนมองมาอย่างเอ็นดู ลูบไล้หยาดเหงื่อที่ขมับพร้อมปัดเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปกปิดหน้าหวานของภรรยาออก “น้อง...เสียว”
หมดกันซึ่งความอดทนที่คเชนทร์สั่งสมมาทั้งชีวิต ยี่สิบแปดปีที่เรียนรู้เรื่องราวทั้งความสุข ความทุกข์ ความเจ็บปวดสารพัดกลับต้องตายรังและจบลงเพียงเพราะใบหน้าหวานและกลีบปากแดงเจ่อที่พร่ำพูดออกมาเพียงหนึ่งคำ สีหน้าและท่าทางเย้ายวนเว้าวอนแบบไม่ต้องปรุงแต่ง จริตแบบคนเรียบร้อยที่ยังคงเขินอายแม้กระทั่งเวลาถูกสอดใส่ทำเอาจิตใจชายหนุ่มสั่นระรัว
ชายหนุ่มนึกขอโทษภรรยาตนเองอยู่ในใจ ขอโทษที่คุมอารมณ์ไม่ได้ เศวยาในตอนนี้ควรถูกกระทำให้ช้ำไปทั้งร่าง ควรโดนสอดใส่ที่จุดกระสันจนต้องร้องครางชื่อเขาให้ดังยิ่งกว่าเสียงพลุ ควรโดนฟัดด้วยริมฝีปากและฝ่ามือใหญ่ๆจนเกิดรอยกุหลาบให้ทั่วตัว ควรโดนบดขยี้ด้วยความเป็นชายของเขาให้อ่อนระทวย เวลาปกติว่าน่ารักเสียยิ่งกว่านางฟ้า แต่ ณ ตอนนี้เศวยากำลังจะทำให้เขาขึ้นสวรรค์ทั้งที่เป็นมนุษย์ตัวเล็กๆ
สำหรับคเชนทร์ คำว่าได้ไม่คุ้มเสีย ไม่เคยมีอยู่จริง
เพราะถ้าเขาเสียอะไรไป เขาจะต้องตักตวงกลับมาให้ได้มากกว่าเสียเป็นร้อยเท่า
เอวสอบขยับอีกครั้งทันทีเมื่อจุมพิตที่แก้มหอมจบ ร่างเล็กถูกพลิกกายให้นอนหงายพร้อมขาสองข้างที่หมดแรงจนแบะออกทั้งที่พี่เชนไม่ได้ดึงอะไรออกไปเลย จูนอายม้วนที่ตนไม่ทักท้วงใดๆทั้งสิ้นเมื่อพี่เชนจัดเเจงอะไรต่อมิอะไร
ความรุนแรงกลับเข้ามาอีกครั้ง ศีรษะเล็กสั่นคลอนไปกับหมอนใบโต ความแข็งขืนอัดแน่นเข้ามาได้ไม่หยุดยั้งจนคำถามมากมายเกิดขึ้นในสมอง ทำไมพี่เชนถึงแข็งแกร่ง ทำไมถึงอึดและถึกทน ทำไม ทำไม มีแต่ทำไม
และ
รักพี่เชน
นั่นคือความคิดที่โผล่เข้ามาต่อจากนั้น เขาอยากรักพี่เชนให้มากกว่านี้ อยากเป็นเศวยาของคเชนทร์เพียงผู้เดียว อยากให้พี่เชนรู้สึกได้ถึงความรักครั้งนี้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงอ่อนไหวนัก แต่ยิ่งอีกฝ่ายส่งแรงกระแทกจนปากช่องทางยู่ยี่ไปตามทิศทางการสอดใส่มากเท่าใด หัวใจมันก็ยิ่งวูบโหวงมากเท่านั้น
พี่เชนในตอนนี้ดุยิ่งกว่าเวลาที่ตีมือ ดุกว่าเวลาที่จ้องมองเขาด้วยแววตามองหาความจริง เวลาที่ใช้น้ำเสียงทุ้มๆพูดใส่ ดุในตอนนี้ที่่ว่าคือทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง และโดยเฉพาะร่างกาย เศวยารู้สึกว่าเขากลัว แต่อีกใจกลับยอมรับทุกอย่างที่พี่เชนมอบให้
เขาพึมพำเรียกชื่อคเชนทร์อยู่คนเดียว มองใบหน้าคมที่ก้มลงมาแล้วยิ้มจาง พี่เชนกระดกเอวสอดใส่เข้ามาจนสุด ค้างเอาไว้แนบแน่นแล้วอัดเข้ามาอีกจนความจุกแล่นปราดไปทั่วช่องท้อง
กลีบปากบางอวบถูกบรรเลงเพลงจูบอีกครั้ง มันทั้งทะนุถนอม และเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน เขาอยากถามว่าพี่เชนทำได้ยังไง แต่ไม่รู้แล้ว เศวยาไม่มีสติพอ เขาทำได้เพียงปล่อยให้ร่างกายโดนกระทำ กระทำในที่นี้คงต้องบอกว่ามันใกล้คำว่าย่ำยี บดขยี้ ทุกจังหวะการกระทั้นมันช่างรุนแรงเสียจริง ทั้งที่เขินอายแทบบ้าในทีแรก แต่กลับโอนอ่อนไปตามรสชาติของความกระสันในเวลาถัดมา
“อา…พี่…อื้อ เช...อ้า” เขายังคงส่งเสียงคราง ตราบใดที่พี่เชนยังไม่หยุด จูนก็ยังไม่สามารถควบคุมกล่องเสียงตัวเองได้ เหมือนมันเป็นระบบอัตโนมัติว่าหากส่วนแข็งขืนกระทุ้งเข้ามาทีเดียวมิดด้าม นั่นหมายถึงเขาต้องร้องออกมาอย่างน้อยหนึ่ง หรืออาจจะสองครั้งติด เขาทนไม่ได้ พายุลูกนี้มันรุนแรงเกินจะทน เหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำแล้วหายใจไม่ออกอีกอย่างนอกจากเพลิงไฟหรือพายุ “น้อง อ้ะ ไม่ไหว”
“พี่รู้...เศวยา อ่า พี่รู้” พี่เชนเสียงสั่น รัวสะโพกเข้าใส่ซ้ำๆ เสียงเดิมกลับมาอีกแถมยังเกิดขึ้นถี่กว่าเดิม หากวัดเดซิเบลในห้องนี้ผลของมันคงออกมาค่าสูงแน่ มือหนาจับขาเรียวพับดันให้เกร็งค้างไว้ที่อก เปิดให้ช่องทางที่ถูกขยายจนแดงเถือกเด่นชัดขึ้นมากลางอากาศ ท่อนเนื้อสีเข้มจ่อเข้าที่ปากโพรง มันไล้ควงวนไปเรื่อยจนในที่สุดก็เข้าไปมิดโคน
คเชนทร์รู้ว่าตัวเองกำลังหื่นกระหาย อยากกระทำน้องให้รุนแรงแทบบ้าแต่ก็กลัวว่าคุณชายจะเจ็บตัว แต่ยิ่งมองดวงตาหวานฉ่ำเยิ้มพร้อมฟังเสียงครางแสนไพเราะนั่นก็เหมือนสวิตซ์แห่งความดีถูกสับ ในหัวมีแต่ภาพของเศวยา มีเพียงเศวยาเท่านั้น น้องกำลังดิ้นเพราะสัมผัสของตัวเอง น้องกำลังอ้อนวอนและร้องขอ และนั่นทำให้เอวแกร่งทำงานอย่างหนัก มันอัดกระแทกเข้าไปรัวหลายต่อหลายรอบติด มันรุนแรงดั่งเครื่องจักรกล ส่งผลให้เนื้อสีแดงฉานลู่ครูดเข้าออกตามความใหญ่โต
“อ่า…จูน”
“อื้อ! อ้า! อ๊า!” จูนเบ้หน้าอย่างน่าสงสาร ร้องครวญครางเสียงดังลั่นทุกแรงอัดกระแทกจนตัวโยน ตอดรัดส่วนสำคัญที่อีกฝ่ายดันเข้ามาในร่างกายอย่างรุนแรง ความรู้สึกเสียวที่เกิดขึ้นทำเอาในสมองขาวโพลน “อื๊อ มะ ไม่ไหวแล้ว อ๊า พี่เชน น้อง...”
“ทน...เศวยา”
“แฮ่ก” ร่างเล็กหอบถี่ ปรือตามองชายหนุ่มกลัดมันที่กำลังกัดริมฝีปากสูดเสียงลอดไรฟัน “พะ...พี่...น้องมะไหว”
"พี่บอกให้อดทน"
“ทน...เศวยา”
“แฮ่ก” ร่างเล็กหอบถี่ ปรือตามองชายหนุ่มกลัดมันที่กำลังกัดริมฝีปากสูดเสียงลอดไรฟัน “พะ...พี่...น้องมะไหว”
"พี่บอกให้อดทน"
ครั้งสุดท้ายที่จรวดลำใหญ่พุ่งตรงเข้ามาจอดแน่นิ่งและลึกที่สุดในดวงดาว เจ้าของใบหน้าหวานเยิ้มตัวเกร็งอีกครั้ง ความเหนอะหนะกระจายไปทั่วหน้าท้องบาง มันขาวขุ่นเหมือนกับสิ่งที่ไหลเปรอะออกมาจากช่องทางแดงเถือกรวมถึงบวมช้ำเล็กน้อยเป็นผลพวงจากการถูกกระแทก
พี่เชนยังคงขยับ แต่เชื่องช้าและนุ่มนวลมากกว่าเดิมหลายร้อยล้านเท่า สิ่งภายในตัวเขามันกระตุก ใช่นะ มันกระตุกจริงๆ แล้วมันก็อุ่นมาก ยิ่งกว่าโอวัลตินยามเช้าที่คุณป้าแม้นชงให้ดื่มก่อนไปเรียน
“พี่รักน้อง ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก”
เสียงกระซิบอ่อนหวานของพี่เชนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เศวยาเลือกจะฟัง เขาพยักหน้า เปิดริมฝีปากให้อีกฝ่ายรุกรานได้เต็มที่ หลับตาลงเล็กน้อยแล้วปรือขึ้นเมื่อลิ้นอุ่นผละออก
เราจ้องตากันโดยมีแสงอาทิตย์ยามเก้าโมงเช้าเป็นภาพพื้นหลัง มีหยาดเหงื่อและกลิ่นของนมวนิลลาเป็นสักขีพยานว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นไปบ้าง มีความเจ็บปวดเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าตอนนี้ไม่ใช่ความฝัน มีดวงตาคู่นั้นที่ส่งคำสัญญาออกมาโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด และดูเหมือนมันจะยังไม่จบ พี่คเชนทร์คงเป็นช้างที่เอาไว้ใช้ในสนามรบ พละกำลังมหาศาล สามารถวิ่งได้ไกล แบกคนได้เป็นร้อย เพราะเอวสอบที่ขยับต่อทำเอากลีบปากบางร้องออกมาไม่เป็นคำพูด แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ดีว่าต้องพึมพำแน่ คงหนีไม่พ้นชื่อของอีกฝ่าย
เศวยาไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว และเป็นคเชนทร์ที่พรากมันไป
หากมันเป็นสัญญา เศวยาคงยินยอมเซ็นให้โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดเลยทีเดียว
ขอเพียงอีกฝ่ายคือคเชนทร์ หิรัญภริณากรณ์
สามีของเขา
เศวยาแทบหมดลมหายใจเมื่อมองเข็มนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน เด็กน้อยวัยยี่สิบกว่าปีพลิกตัวตะแคงข้างหลังพี่เชนผละออกไป เขานึกขอบคุณอยู่ในใจ ขอบคุณบุคคลในสายโทรศัพท์สำคัญสายนั้นของพี่เชนที่โทรฯเข้ามาตอนน้ี เพราะไม่เช่นนั้นความเจ็บที่ส่วนล่างคงทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผ้านวมสีขาวที่ตอนนี้มีรอยเลอะและเปียกเป็นวงถูกมือเล็กดึงขึ้นมาตระกองกอด ใบหน้าอุ่นร้อนเทียบเท่ากับน้ำอุ่นๆในช่องทางที่พยายามไหลออกมาเปรอะเปื้อนนอกร่างกาย คิดแล้วก็เกิดความเขินขึ้นมาในสมอง จากนั้นก็อาย แล้วก็ได้แต่มุดตัวงอเป็นกุ้งเข้าใส่ผ้าห่มรวมถึงหมอนที่เปียกชื้นหยาดเหงื่อเล็กน้อย
ตั้งแต่เช้า...จวบจนตอนนี้ พี่เชนไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อย หรือจะหยุดแกล้งเขาเลย
“จูน” เสียงทุ้มที่เรียกทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยง เศวยาไม่ได้หันกลับไปมองเจ้าของแรงแตะแผ่วเบาที่หัวไหล่ผ่านเนื้อผ้า เขาทำเพียงร้องครางอื้ออึงตอบรับพี่เชนไปเท่านั้น “เป็นอะไรครับ” อีกฝ่ายขำในลำคอ เขารู้สึกได้ว่าพี่เชนกำลังพยายามชะโงกหน้ามามอง เพราะเงาตะคุ่มที่บดบังเเสงจากดวงอาทิตย์มืดขึ้นเรื่อยๆ
“…”
“หันหน้ามาหน่อยครับ” พี่เชนยังคงบีบเบาๆที่ไหล่ แต่กายบางยังคงแน่นนิ่งสนิท เพิ่มด้วยการงอตัวเข้าหาตัวเองเพราะไม่กล้าสบตาใครอีกคนในตอนนี้ “น้องไม่อยากคุยกับพี่เเล้วเหรอ...”
“ไม่เห็นได้คุยกันเลย” จูนพึมพำ ตวัดสายตาง้องอนน่าเอ็นดูกลับไปมองคนพี่ที่ตอนนี้ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดเรียบร้อยแล้ว
“คุยแล้วไง” พี่เชนยิ้มกริ่ม สอดมือเข้าไปใต้ผ้านวมแล้วบีบเเผ่วเบาที่สะโพก เรียกเสียงหวานร้องท้วงพร้อมร่างกายที่พลิกตะเเคงหันมาอีกทาง เงยหน้าบึนกลีบปากสู้สายตาเจ้าเล่ห์อย่างหลบซ่อนความกลัว “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
นิ้วโป้งหยาบเกลี่ยลงบนแก้มใส พี่เชนเอนตัวลงนอนเคียงข้างกัน ท้าวศอกเอาไว้ด้วยแขนซ้าย มือขวายังคงทำหน้าที่เดิมของมันคือการลูบไปตามกรอบหน้าหวานและเส้นผมนุ่ม เศวยาเงยมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูมีความสุขมากผิดปกติ หัวใจพลันเต้นแรงจนต้องรีบหลุบตาลงต่ำแต่พี่เชนก็ยังคงมือไวช้อนปลายคางเขาขึ้นไปอีกครั้ง
“น้องเจ็บ” คนตัวเล็กพึมพำ ระยะใกล้เพียงฝ่ามือทำให้อีกฝ่ายฟังได้ใจความจนต้องเลิกคิ้วสูงโดยทันที
“หื้ม?”
“แรง…” จูนมุดใบหน้าเข้าแผ่นอกแกร่งเพราะต้องการหลบซ่อนแก้มสีฝาดของตน เพียงขยับท่อนขาไม่กี่เซนติเมตรสะโพกก็พลันร้าวจนต้องครางเสียงอ่อน เรียกให้มือหนาของพี่เชนต้องรีบกอดปลอบประโลมพร้อมเสียงหัวเราะเเผ่วเบา
“อะไรนะครับ?”
“แรงอะ” จูนส่ายหน้าจนหน้าผากมนถูเสื้อคลุมอาบน้ำขึ้นรอยแดง “พี่เชน...ทำ”
“…ครับ?”
“ทำน้องแรง”
“เหรอครับ” พี่เชนถามเพียงเท่านั้น แต่นั่นดูไม่ใช่ประโยคคำถามเอาเสียเลย เพราะทันทีที่เสียงทุ้มว่าจบ วลีเหล่านั้นก็จางหายไปกับธาตุอากาศและเเทนทีด้วยเสียงหัวเราะในลำคอดังหึหลายครั้งติดแทน เศวยาคิดว่าตนเองไม่ได้คิดไปเอง แต่ผู้ชายตรงหน้าเขาต้องกำลังคิดอะไรที่เขาไม่มีวันเข้าใจอยู่แน่ “พี่ขอโทษ”
“…ฮือ”
“แต่พี่ตั้งใจนะ” พี่เชนลูบศีรษะทุยลากยาวลงไปถึงต้นคอ ก่อนคว้าเอาไหล่บางให้กายเล็กแนบชิดเข้าไปอีก
“อะไรก็ไม่รู้”
คเชนทร์อมยิ้มเมื่อมองเห็นคนรักกำลังกำเสื้อตนเเน่น ความคิดในสมองตอนนี้หากให้วินซ์หรือจิณณ์รู้ พวกนั้นคงล้อไปยันอายุเข้าเลขหกเป็นแน่ เพราะเขากำลังมองว่าเศวยาน่ารัก เหมือนก้อนเมฆที่เป็นสีชมพู น่าทะนุถนอม แต่ก็สามารถรวมตัวก่อพายุให้ฝนตกลงมาได้
“เหนื่อยไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ดูเหมือนเด็กในอ้อมกอดจะหมดแรงจนเข้าใกล้นิทราไปทุกที “เอาไว้พ่ีค่อยพาออกไปเที่ยวนะ วันนี้นอนก่อนนะครับคนเก่ง”
“ฮื่อ” เศวยาพ่นลมหายใจยาว มุดใบหน้าเข้ามาอีกจนประสบการณ์ยี่สิบแปดปีเกือบพังทะลายอีกรอบ คเชนทร์หันหน้าหนีไหล่ขาวเนียนไปทางอื่นพลางหยิบชายผ้าขึ้นมาคลุม ตบไหล่คนตัวเล็กเพื่อกล่อมราวเด็กทารก
“เศวยา”
“…” น้องไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่คงจะยังมีสติพอที่จะรับฟังเสียง
“น้องเคยบอกพี่ว่าอยากโตไวๆใช่ไหม”
“ทำไมเหรอครับ” เสียงอุดอู้ตอบกลับมา
“ยังอยากโตขึ้นกว่านี้อีกไหม” คเชนทร์กระซิบเสียงแหบพร่า และคำตอบที่ได้มาก็คือการพยักหน้าขึ้นลงหลายครั้งติด “ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้พ่ีจะสอนอีกนะครับ”
2 วันผ่านไป
“จริงไหมๆ" จูนหัวเราะล่าเมื่อเห็นภาพเพื่อนๆพยายามแย่งกันเข้ามาอวดงานใหม่กันเต็มหน้าจอโทรศัพท์ เขานั่งอยู่ที่โซฟานิ่งๆหลังจากหมดแรงยืนไปสองวันเต็ม สอดสายตามองวิวเมืองไทเปอยู่ได้ไม่นานเพื่อนๆก็ Call Line มาจากประเทศไทย แน่นอนว่ามือเขาน่ะกดรับก่อนที่จะนึกคิดคำทักทายเสียอีก เสียงแรกที่ส่งเข้ามาคงไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าต้องเป็นดิวแน่นอน
รายนั้นทำงานกับห้างของพี่จิณณ์ไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่แปลกใจเท่าไหร่นัก ส่วนอายก็คงยังไม่หางานทำ และคงดำเนินเรื่องขอกรีนการ์ดให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน เขาเดาว่าอีกหน่อยอายคงแต่งงานเป็นคนถัดไปแน่ พี่แดนดูท่าจะจริงจังกับเพื่อนเขาไม่น้อยเลยล่ะ เอกก็เข้าไปทำโรงงานกับคุณพ่อต่อ และดูเหมือนว่ากำลังคบหาดูใจกับรุ่นน้องในคณะที่ชื่อซิน เพื่อนเขาดูมีความสุข และจูนก็ยินดีมาก ส่วนซันกับยี่ เห็นว่าเข้าทำงานบริษัทใหญ่ที่เดียวกันในไทย แต่แน่นอนว่าเป็นเด็กจบใหม่ อะไรๆก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แต่สองคนนั้นกลับมีความสุขในแบบที่ควรจะเป็น ไม่รั้นจะหามากกว่านี้ ไม่อยากมีมากไปกว่านี้
เขาเรียนรู้อะไรมากมายจากสังคมในยุคปัจจุบัน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงอ่อนไหวมากกว่านี้ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ประสบการณ์จะสอนให้เราเข้มเเข็งในสิ่งที่ควรเข้มเเข็ง อ่อนแอในสิ่งที่ควรอ่อนแอ ไม่ควรรีบร้อนหรือเร่งรัด เพราะแต่ละคนล้วนผ่านเรื่องราวมาต่างกัน
เช่นคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายเขาในตอนนี้
กว่าจะเป็นคเชนทร์นั้นไม่ง่ายเลย เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่าพี่เชนน่ะเหนื่อยกว่าที่คิด การทำธุรกิจไม่ใช่ว่าจะได้กำไรเสมอไป ช่วงที่ Hirana ยังเป็นเพียงน้องใหม่ ก็เหมือนซันกับยี่ที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่ ล้มลุกคลุกคลานมานานเพียงไหนกว่าจะได้กำไรมหาศาล แต่หากพูดเอาตามความเป็นจริง มันกลับคุ้มไม่น้อยกับเวลาที่เสียไปในตอนนั้น เพราะพี่เชนในตอนนี้คือผู้ชายที่เก่งกาจเหลือร้ายและยังเต็มไปด้วยเสน่ห์มากล้น สมแล้วที่มีเทพเจ้าประจำวันเกิดคือ Aphrodite เทพีเเห่งความงามและความรัก สมแล้วที่ได้มาเกิดในปีมะเส็ง ปีงูเล็กที่เขาพอจะเคยอ่านคำทำนายมาว่าคนเกิดปีนี้จะเป็นคนมีคารมคมคาย ช่างพูด มีความฉลาดเฉลียว ไหวพริบปฏิภาณดี ใจร้อนแต่เฉลียวฉลาด จึงกลายเป็นคนมีเหตุผลในเรื่องของความรัก และมักจะมีความซื่อสัตย์สุจริตต่อคนรัก เป็นคนมีกามารมณ์รุนแรง เมื่ออยู่ใกล้เพศตรงข้าม และรู้สึกในเรื่องเพศง่าย เมื่อได้ปักใจรักใครแล้ว ก็อาจยอมได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยการตัดสินใจ ของตนเอง แต่เป็นคนถือยศถือเกียรติในเรื่องของความรัก ไม่เหลาะแหละหรือเหลวไหลง่าย เป็นคนจริง คือจริงต่อคำพูดและคำมั่นสัญญายิ่งชีพ
และอีกหน่อยพี่เชนก็ต้องเป็นทายาทรับช่วงต่อธุรกิจ รวมถึงพี่เฌอที่อาจจะมาช่วยด้วยในบางส่วน ถึงตอนนั้นพี่เชนอาจจะเหนื่อยยิ่งขึ้นไปกว่านี้ แต่เขาก็ได้ให้ปณิธานกับตนเองเอาไว้เรียบร้อยว่าจะอยู่ข้างๆไม่ว่าพี่เชนจะเป็นแบบไหน วันนึงเราอาจจะจำกันไม่ได้ หรืออาจจะมีใครจากกันไปก่อน
แต่เขาจะระลึกเสมอว่าผู้ชายคนนี้คือคนเดียวที่สอนให้เขารู้จัก อิสระที่อยู่ในกรอบ
“เหม่ออีกแล้ว”
เสียงดีดนิ้วดังเป๊าะทำเอากายบางสะดุ้งโหยง พี่เชนพูดโดยไม่มีเสียง เศวยาค้อนมองอีกฝ่ายแล้วหันหน้าหนีไปมองเพื่อนๆในหน้าจอ เขาไม่ได้ใส่หูฟังเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น ในเมื่อพี่เชนเองก็รู้จักกับเพื่อนๆดีแล้วด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเขากำลังชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ มันไม่สามารถที่จะเสียบหูฟังเข้าไปได้จริงๆ
(นี่ๆๆ อยากไปเที่ยวซิเหมินติงมาก) ซันแทรกเข้ามา (อยากช็อปปิ้งโว้ย)
“ใจเย็นๆนะซัน ทุกคนใจเย็นๆเลย” จูนหัวเราะหนักกว่าเดิม เพื่อนๆตลกมาก และเขาก็คิดถึงเพื่อนๆมากเหมือนกัน
(มึงไม่มีเงิน อีง่าว จำ!) ยี่บ่นพลางดันหน้าซันให้ออกไปจากกล้อง เขาเหลือบมองพี่เชนที่เริ่มขมวดคิ้วทั้งที่นิ้วมือรัวแป้นคีย์บอร์ดโน้ตบุ๊กบนตัก (จูนๆๆๆๆ) ดิวรัวเสียงอีกรอบ จนเขาต้องลากดวงตากลับไปมองหน้าจอ
“ว่าไงดิว ทำไมทำหน้าตื่นแบบนั้นเล่า”
(สรุปยอนอนอยัง)
“ฮะ” เศวยาร้องเสียงหลง ลุกลี้ลุกลนกดลดเสียงอยู่ตรงนั้น เหลือบมองขนข้างกายแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคิดว่าพี่เชนคงจะไม่ได้ยินมัน
(ถามว่า ยอ! นอ! นอ! หรือยัง!!) ดิวตะโกนสุดเสียงจนการลดระดับเสียงลงไปเหลือขีดเดียวก็ไม่ช่วยอะไรอีกต่อ เศวยายิ้มแห้งกับตัวเอง จะหันไปมองพี่เชนก็ไม่กล้า จะก้มลงมาตอบเพื่อนก็ไม่กล้า คนปลายสายทั้งสามสี่ชีวิตก็รอคำตอบเขาจึงเร่งๆแล้วก็ล้อกันใหญ่โต (อ้าว หายเลย เน็ตไม่ดีหรอๆ) เขาได้ยินเสียงอาย แล้วก็ส่ายหน้ากับตัวเองเป็นคำตอบทั้งที่กล้องไม่ได้จับอยู่
บ้าจริงเชียว เขาอุตส่าห์เลิกคิดเรื่องนี้ได้เเล้วแท้ๆ เรื่องสาเหตุที่ทำเอาเขาเจ็บร้าวทั่วทั้งร่างแถมคนที่เป็นปัจจัยหลักๆก็ยังนั่งอยู่ข้างกัน เศวยาเพิ่งรู้อีกเรื่องเกี่ยวกับคเชนทร์ เขาเคยได้ยินมาว่าอย่าปราณีคนที่คิดเอาเปรียบ แต่เขาไม่เห็นรู้ตัวเลยว่าเขาเอาเปรียบพี่เชนตอนไหนกันนะ หรือเศวยาไม่รู้ตัวเองหรือเปล่า พี่เชนถึงได้ไม่ปราณีกันเลยทั้งสองวันสองคืนที่ผ่านมา
หากให้นับว่าหนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง
จูนแทบนับได้เลยด้วยซ้ำว่าตนเองก้าวลงจากเตียงนอนและได้พักเป็นเวลากี่ชั่วโมง...
(เขินโว้ยยยยย) ซันตะโกนลั่นทั้งที่เขายังไม่ตอบอะไร เศวยาพูดไม่ออก เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างมาขุกที่ลำคอ เขาได้ยินเสียงกด Enter เปลี่ยนบรรทัดจากพี่เชน ก่อนเจ้าของเพนท์เฮ้าส์หรูจะยกโน้ตบุ๊กลงจากตัก ขยับตัวเข้ามาใกล้พลางยื่นหน้าเข้ากล้อง เรียวคิ้วคมขมวดเข้าหากันพลางสำรวจไปทั่วหน้าจอจนเพื่อนทั้หมดของเขาเงียบกริบ (อุ่ย พี่เชนอยู่ข้างๆเหรอ แหะๆ) ซันรีบหนีหลบแล้วโยนโทรศัพท์ให้ดิวถือแทนทันที
“ครับ พี่อยู่ตลอด ถึงได้รู้ว่าสอนอะไรแปลกๆให้จูนอีกแล้ว”
(น้องเปล่านะพี่เชน) ดิวส่ายหน้าพรืด ดันตัวอายกับยี่เข้ามารับหน้าแทน
“ทั้งหมดทุกคน ไม่ต้องโทษใคร”
(โห พี่เชน ก็แซ็วเล่นกันขำๆเองอะครับ) ดิวหน้างอใส่กล้อง (จูนยังไม่ว่าอะไรเลย เนาะจูนเนาะ)
“แหะ” คนถูกถามหัวเราะแห้ง พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเจื่อนกลับไป
“พี่จะทำโทษ ไม่พาจูนกลับไปหาสามเดือน”
(พี่เชน! อย่าเล่นแบบนี้ดิ) ดิวงอแงใหญ่ คนที่แอบฟังอยู่เงียบๆจึงยิ้มขำออกมาจนได้ เขาคิดถึงเพื่อนๆ และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขาฝ่ายเดียวที่คิดถึงล่ะมั้ง (พี่เชนอยากกักจูนไว้ก็บอกพวกดิวมาเลย ไม่ต้องทำข้ออ้างเถอะ)
“หึ” เสียงหัวเราะร้ายกาจออกมาอีกแล้ว “Keep in mind” สำเนียงภาษาอังกฤษที่ถูกส่งออกไปทำให้บรรยากาศเยือกเย็นขึ้นเท่าตัว เพราะเมื่อไหร่ที่พี่เชนพูดภาษาอังกฤษ นั่นหมายถึงพี่เชนกำลังเอาจริง
“พี่เชน...”
“I'm gonna fuck him or not” จูนตาโตทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ “it's none of your business”
“พี่เชนครับ!” เศวยากดวางสายแทบจะทันที เขาหันมาประทุษร้ายบุคคลข้างกายแทบไม่ทัน ทั้งหมอนและมือเล็กๆที่ดูยังไงก็ไม่น่าทำให้ใครเจ็บล้วนแล้วแต่ตีลงบนเนื้อตัวพี่เชนทั้งหมด
“ตีพี่ทำไมครับเนี่ย” ถึงแม้เสียงจะดุ แต่ใบหน้าน่ะกลับยิ้มทะเล้นจนคนมองอายจนถึงขั้วหัวใจ พี่เชนนะพี่เชน คนที่ดื้อกว่าเขาเห็นทีจะเป็นพี่เชนเนี่ย “เศวยา...อะ หยุดก่อนครับ พี่เจ็บนะ”
“พี่เชนแกล้งน้อง เล่นอะไรก็ไม่รู้นี่ครับ”
“ก็ดูน้องสิ พี่บอกให้เลิกใช้ไง”
“น้องไม่ได้ใช้เสียหน่อย เพื่อนๆต่างหากครับ”
เศวยาเริ่มรั้นขึ้นด้วยเสียง แต่พี่เชนก็ไม่ได้ท้วงติงอะไรเขา อีกฝ่ายทำเพียงยิ้มแล้วจ้องหน้ากัน ก่อนตัวน้อยๆของกระต่ายที่ยังคงช้ำในจะถูกดึงไปกอดเอาไว้แนบแน่นที่อกคนเป็นพี่ ทีแรกเศวยาก็ดิ้น แต่เมื่อรู้ว่ายังไงก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ไหวจึงได้หยุดแล้วนอนเอนศีรษะพิงไหล่กว้างแล้วมองวิวยามเย็นของเมืองไทเปที่สวยไม่แพ้ประเทศไหน
“พี่ไม่อยากให้ใครมาว่าน้องว่าเป็นเด็กไม่ดี ถึงไม่ให้ใช้ เข้าใจใช่ไหม?” พี่เชนเอ่ยปากพูดเรื่องเดิมขึ้นมาอีกด้วยอารมณ์ที่เย็นลง กระชับอ้อมแขนจนจูนรู้สึกร้อน แต่เขาก็ยังดีใจที่ได้รับความอุ่นมากกว่าความหนาวเย็น
“อื้อ น้องรู้ครับ น้องไม่ใช้นะ ไม่ได้ใช้จริงๆ”
“ดีแล้ว” พี่เชนหอมฟอดใหญ่ลงมาที่แก้ม “พรุ่งนี้พี่ค่อยพาออกไปข้างนอกนะครับ”
“ผิดสัญญา~” จูนว่าเสียงยาว แต่กลับต้องรีบปิดปากเมื่อประโยคถัดมาของพี่เชนดังขึ้น
“เดินไหวหรือไง”
“ฮึ่ย” พอเถียงอะไรไม่ออกน้องเล็กที่เด็กกว่าถึงหกปีก็กระฟัดกระเฟียดไม่น้อยทีเดียว เหตุการณ์นี้จะเกิดไหมถ้าพี่เชนไม่ทำอะไรเขาน่ะ คนผิดมันพี่เชนนั่นแหละ เขาไม่ได้ผิดอะไรเสียหน่อย “ดูสิ ทำน้องเจ็บแล้วยังพูดแบบน้ีอีก น้องจะฟ้องท่านพ่อจริงๆด้วยนะ”
“หืมมม?” พี่เชนลากเสียงยาว
“จะบอกว่าพี่เชนแกล้งน้อง พี่เชนทำน้องร้องไห้ด้วย พี่เชนไม่รักษาสัญญา ไม่ยอมพาน้องไปเที่ยว เอาแต่-”
“เอาแต่?”
“…” เศวยาไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเงยหน้ามองใบหน้าคมที่อยู่ใกล้เพียงฝ่ามือเดียวแล้วลับตาแน่นเพราะโดนจูบ พี่เชนละเมียดละไมอยู่บนกลีบปาก ผละออกไปแล้วลูบใบหน้าเขาเพื่อเปิดหน้าผากมนแล้วจุมพิตลงมา
“เอาสิ ฟ้องเลย”
“…”
“คนอื่นก็จะรู้ทันที” เศวยาหน้าร้อนผ่าวเมื่อโดนสายตาร้ายกาจของหนุ่มวัยกลัดมันทำร้ายอีกครั้ง “ว่า I fucked you already”
“พี่เชน!”
`•.¸¸.•´ อวสาน `•.¸¸.•´
#มายควีนหลินฮุน
#มายควีนหลินฮุน
#มายควีนหลินฮุน
#มายควีนหลินฮุน
@LalinLalinia
คิดอย่างไรอย่าลืมไปติดแท็กบอกกันได้นะจ๊ะ อิอิ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น